#MUNICHSWISS : DAY9 จุงเฟรา แม่สาวน้อยฉายา Top of Europe และกรินเดลวัลด์ First

แผนของเราในวันนี้คือเก็บส่วนที่พลาดไปในละแวกนี้ของวันก่อนๆ เนื่องจากวันนี้เราจะลงจากบริเวณจุงเฟรา (Jungfrau Region) และไปยัง "อินเทอร์ลาเคน" (Interlaken) ต่อแล้ว
วิวระหว่างนั่งรถไฟ
เป้าหมายหลักของวันนี้ คือ มุ่งหน้าขึ้นจุงเฟรา และวกกลับไปยังยอดเขากรินเดลวัล เฟิร์ส (Grindelwald First) หากเวลาเป็นใจเราอาจได้เดินไปยังทะเลสาบ Bachalpsee จากนั้นค่อยนั่งรถไฟยิงยาวไปเย็นที่อินเทอร์ลาเคน แต่ปัญหาที่ต้องจัดการก่อน คือ กระเป๋าเดินทาง เพราะหากย้อนเอากระเป๋าไปเก็บที่อินเทอร์ลาเคนก่อนแล้วค่อยกลับมาเที่ยวคงเสียเวลาไม่น้อย

ทางออกหนึ่งคือบริการฝากกระเป๋า ตามสถานีรถไฟที่นี่มักมีบริการฝากกระเป๋า ทั้งในรูปแบบของตู้หยอดเหรียญ ซึ่งมีตู้หลากหลายขนาดและมีจำนวนมากเรียงรายอยู่ (หากสถานีไหนมีตู้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตู้ไม่พอหรือใส่ไม่ได้ ตอนแรกเราก็กังวลเหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงมีตู้เยอะและขนาดหลากหลายให้เลือกมาก) หรือไม่งั้นก็จะอยู่ในรูปแบบของการฝากกระเป๋าไว้กับพนักงานซึ่งเป็นห้องบริการรับฝากกระเป๋าเดินทาง เราแค่ลากกระเป๋าเดินเข้าไป จ่ายเงิน แล้วยกเข้าไปยังพื้นที่ฝากได้เลย

เมื่อได้ดังนั้นเราจึงวางแผนการเดินทางกัน โดนจากเลาเทอร์บรุนเนิน เราจะนั่งรถไฟไปยังสถานี Kleine Scheidegg ก่อนและฝากกระเป๋าไว้ที่นั่น เพราะสถานี Kleine Scheidegg นี้จะเป็นทางผ่านในการขึ้นไปยังจุงเฟรา จากนั้นหลังจากลงจุงเฟราและเที่ยวกรินเดลวัลด์เสร็จ ค่อยย้อนกลับมาเอากระเป๋าแล้วนั่งรถไฟลงไปยังอินเทอร์ลาเคน
ภาพประกอบการเดินทางที่ผิดแผนแต่เกิดขึ้นจริง
แต่เมื่อถึงเวลาจริง ก็ผิดแผน (แป่ว!) สุดท้ายเราไม่ได้ย้อนกลับมายัง Kleine Scheidegg นี่เพื่อเอากระเป๋าในตอนเย็นหรอก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

ณ ตอนนั้นเรายังไม่รู้ช่องโหว่ในแผนการ ก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ลากกระเป๋าขึ้นรถไฟนั่งชมวิวไปเรื่อยๆ จากเลาเทอร์บรุนเนิน จะต้องนั่งไปสองสามสถานีกว่าจะถึง Kleine Scheidegg ซึ่งวิวระหว่างทางและจำนวนผู้โดยสาร ก็บอกเราว่า เส้นทางนี้ไม่ได้เป็นที่นิยมนัก รถค่อนข้างโล่ง และวิวทิวทัศน์ออกไปทางชนบทเหงาๆ (ชนบทยิ่งกว่าทางที่ผ่านๆมาซะอีก ชนบทแม้จะว่าด้วยมาตรฐานของวิวแบบสวิสฯเลยแหละ)

ไม่นานมีคุณป้าพนักงานขึ้นมาตรวจตั๋วพวกเรา สิ่งที่เราฟังได้หลังจากเธอมองหน้า คือ เธอบอกเราว่า SwissPass ของพวกเรานั้นไม่สามารถใช้ในเส้นทางนี้ได้ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ไม่ร่วมรายการ (หรือโลคอลมากๆนั่นแหละ) ดังนั้นเธอบอกเราว่าไม่เป็นไร แต่ให้ลงสถานีที่ชื่อว่า Wengen ข้างหน้าแล้วลงไปกดตู้ซื้อตั๋วที่ถูกต้องมาละกันนะ แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนเราอีกสามคน ไม่ได้เข้าใจแบบนั้น สุดท้ายเราก็เลยนั่งยาวๆต่อมา ก็ได้แต่คิดว่า เออ เราคงฟังผิดแหละเพื่อนอีกตั้งสามคนไม่เห็นได้ยินเหมือนเราเลย ถึงจะต้องซื้อจริงๆก็คงไม่มีใครมาตรวจแล้วมั้ง อีกแค่สองสถานีเอง... แต่พอผ่านสถานี Wengen ไป ป้าคนเดิมเดินตรงมาจากไหนก็ไม่รู้มาที่พวกเราแล้วขอตรวจตั๋ว (แน่นอนว่าเราไม่มีให้นอกจาก SwissPass) ป้าก็ส่ายหัวแล้วบอกว่า ป้าบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าให้พวกยูลงไปซื้อตั๋วที่ถูกต้องมาที่สถานีตะกี้ จะได้ไม่ต้องเสียค่าปรับ แบบนี้คุณป้าเลยไม่มีทางเลือกนอกจากหยิบตั๋วมาขายให้พวกเราพร้อมกับคิดค่าปรับเพิ่ม โชคดีที่ค่าปรับที่ว่าเพิ่มมาไม่ถือว่าสาหัสมากนัก แต่ก็ต้องจำไว้เลยว่า เรื่องแบบนี้เราควรทำให้ถูกต้อง เพราะค่าปรับบทจะแพงก็แพงมหาโหดเลย แต่สุดท้ายเราก็ได้ตั๋วที่ถูกต้องมาในราคาที่แพงกว่าปกติเพราะรวมค่าปรับ และก็นั่งรถไฟต่อด้วยความสบายใจ (ซะที!)

ไม่นานเราก็มาถึง Kleine Scheidegg
สถานี Kleine Scheidegg
เมื่อมาถึงสถานี Kleine Scheidegg เราลากกระเป๋าไปฝากที่สถานี (เป็นแบบฝากกับเจ้าหน้าที่) รับใบรับกระเป๋ามาเรียบร้อย โดยเค้ากำชับว่าให้มารับก่อนเวลาปิดสถานี

การฝากกระเป๋าใช้เวลาไม่นาน และเราสามารถขึ้นรถเที่ยวต่อไปเพื่อมุ่งหน้าสู่จุงเฟราได้พอดีโดยไม่เสียเวลา

พูดถึงสถานี Kleine Scheidegg สักเล็กน้อย คือ เป็นสถานีเปลี่ยนรถไฟที่สวยมาก (สวยตั้งแต่สถานีเปลี่ยนรถขึ้นจุงเฟราอ่ะคิดดู นี่ยังไม่ได้ขึ้นไปบนยอดเลยนะ) เป็นรางรถไฟ และอาคารสถานีทอดยาว ด้านหลังเป็นภูเขาหิมะสูง และวิวโดยรอบคือหุบเขาเวิ้งว้างกวางขวางทอดออกไปไกลแสนไกล สวยงามไม่ว่าจะมองจากมุมมองของผู้มาเยือนหรือผู้ที่กลับลงไป

แล้วในที่สุดเราก็เปลี่ยนรถไฟมุ่งหน้าขึ้นจุงเฟราเสียที

จุงเฟรา แม้จะได้ฉายา Top of Europe ต่อท้าย แต่จริงๆตัวจุงเฟราเองนั้นไม่ใช่ "ยอดเขา" ที่สูงที่สุดนะ อันที่จริงความ Top of Europe ของจุงเฟราหมายถึงเป็น "สถานีรถไฟที่สูงที่สุดของยุโรป" เพราะบริเวณนั้นเป็นช่องเขาที่เป็นเส้นทางสำหรับเดินทางผ่านช่องเขานั้น  (ในภาษาเยอรมัน Jung หมายถึง Virgin และ Frau หมายถึง Pass ซึ่งก็คือช่องเขา นั่นเอง)
ระหว่างนั่งรถไฟขึ้นไปบนยอด มีแจกช็อกโกแลตด้วย
แม้ว่าเราจะเลี่ยงจัดโปรแกรมเที่ยวใหม่เพื่อจุงเฟราขนาดนี้แล้ว แต่แผนการที่ดีที่สุดของมนุษย์ก็ผิดพลาดได้เสมอ แม้ว่าวันนี้จะถือว่าสภาพอากาศดีกว่าวันก่อนที่เราตั้งใจจะขึ้นมา แต่พยากรณ์อากาศก็ยังบอกว่ามีโอกาสเกินครึ่งที่ฟ้าจะปิด

และด้วยความน่าจะเป็นขนาดนี้นั้น...
จุดชมวิวแรกบริเวณ Sphinx Observatory
สภาพ ณ จุดชมวิวแรก คือ ไม่เห็นวิวใดใด!!! ตอนที่ลมแรงๆมองไม่เห็นมือตัวเองที่ยื่นออกไปด้วยซ้ำ จริงๆวิวตรงนี้ควรเป็นจุดชมวิวแรกที่เราเฝ้ารอ แต่ดูจากสภาพ ก็ต้องเริ่มทำใจได้แล้ว
สภาพหิมะที่เกาะตัวอาคารจากด้านนอก
เราเดินกลับเข้ามาจากจุดชมวิวแรก ภายในยังมีร้านกาแฟและขนมปังเล็กน้อย หลังจากนั่งรอเผื่อ (หวังลมๆแล้งๆ) ว่าฟ้าอาจจะเปิดสักแว้บนึง เราก็เริ่มเดินดูด้านใน
ภาพวาดแสดงบริเวณโดยรอบจุงเฟราสมัยบุกเบิก
มีแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างสถานีรถไฟผ่านช่องเขา
และยังมีทางเดินและปติมากรรมจากน้ำแข็งอยู่ตลอดทาง เรียกได้ว่าแม้สภาพอากาศไม่เป็นใจ แต่ด้านในก็มีอะไรให้ดูชมได้นานเลย ทั้งถ้ำน้ำแข็ง น้ำแข็งแกะสลักเป็นรูปต่างๆ และประวัติความเป็นมา รวมถึงการสร้างทางรถไฟผ่านช่องเขาในสมัยก่อน
ทางเดินภายในที่บอกเล่าเรื่องราวการสำรวจและการก่อสร้างสถานีในสมัยก่อน
ทางเดินที่เจาะเข้าไปเป็นอุโมงน้ำแข็ง
เราเดินดูเดินชมอะไรไปเรื่อย สุดท้ายก็ขึ้นมาจนถึงยอดที่เปิดออกไปเป็นมุมมหาชน ที่ใครๆที่มาจุงเฟราต่างก็มักจะแวะเวียนมาถ่ายรูปกัน แต่รูปของเรานั้น...
ด้านหลังควรจะเป็นภาพของยอดเขาที่เราตั้งใจมาดู แต่ว่าขาวโพลน
วิวที่ควรจะเป็น คือ แบบนี้ T^T (ภาพจาก Pinterest.com)
เมื่อเดินออกมาก็พบว่าพายุหิมะหนักมาก ลมแรงขนาดที่แทบจะยืนไม่ไหว พัดจะพาเราล้มบนพื้นหิมะที่ลื่นแสนลื่น ซึ่งตอนแรกไม่มีใครออกไปเลยนะ เพราะลมแรงมากอย่างที่บอก แค่ออกไปก้าวเดียวก็จะล้มแล้ว แต่สุดท้ายก็ เอาวะ! มาแล้ว วิวไม่เห็นไม่เป็นไร แต่ใจต้องไปถึง ขาต้องพาไปถึง และนี่คือผลลัพธ์ของการฝ่าลมพายุออกไป
ลมแรงมากจับธงแทบไม่อยู่เลย
 ได้รูปถ่ายคู่กับธงบนยอดมาเหมือนคนอื่นๆแล้ว ที่ไม่เหมือน คือ ไม่มีวิวข้างหลัง แหะๆๆ
กลับเข้ามาข้างใน เพื่อเตรียมไปขึ้นรถไฟลงจากที่นี่ ก่อนไปอย่าลืมแวะตรงจุดปั๊มตรายาง ว่ามาถึงจุงเฟรากันแล้ว
วิวไม่ได้เห็น ก็เลยเก็บเล็กเก็บน้อยแทน
จากนั้นเราบอกลาจุงเฟรา แล้วนั่งรถไฟกลับลงมาที่ Kleine Scheidegg เพื่อจับรถไฟต่อไปยังกรินเดลวัลด์ ระหว่างที่รอรถไฟที่ Kleine Scheidegg ในยามเที่ยงก่อนบ่าย ก็พบว่ามีนักท่องเที่ยวทยอยกันมาเพิ่มมากขึ้น เยอะกว่าเมื่อเช้าเสียอีก และได้เจอกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม พยากรณ์อากาศบอกว่าสภาพอากาศบนยอดยังไม่ดีขึ้น สอดคล้องกับการเดินเตร็ดเตร่ไปมาระหว่างถ่ายรูปรอรถไฟก็ได้ยินไกด์ของกลุ่มที่กำลังจะขึ้นไปบอกออกตัวไว้ก่อนเลยว่า สภาพอากาศไม่ดีแต่ก็จะพาทุกคนขึ้นไปตามแผนเดิม เพราะยังไงก็มาถึงแล้ว และข้างบนก็ยังมีอะไรให้เที่ยวชมอีกมาก

ท่ามกลางบรรยากาศที่ราบล้อมไปด้วยหุบเขา เรากลับรู้สึกว่านี่ก็อาจจะเหมือนๆกันกับบางช่วงของชีวิตคนเรา

บางครั้งชีวิตพาเราก้าวมาถึงจุดที่เราอาจจะไม่อยากเดินต่อ หรือไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปทำไม ทางข้างหน้าแทบมองไม่เห็น แต่เมื่อมายืนอยู่ ณ จุดนี้แล้ว (ตีนเขา) เมื่อความพยายามพาเรามาใกล้จนเกือบจะได้ในสิ่งที่เราต้องการ แต่เราล้มเหลว การไปต่อไม่ใช่เพราะดึงดัน แต่เพื่อให้เราบอกกับตัวเองได้ว่า เราทำเต็มที่แล้ว และเราก้าวผ่านมาได้โดยไม่มีอะไรติดค้างอะไรอีก

แม้จะไม่ได้พบเจอกัน แต่เราก็มาหาแล้ว

ไม่นานรถไฟไปกรินเดลวัลด์ก็พร้อมจะพาเราออกเดินทาง

การนั่งรถไฟไปกรินเดลวัลด์วันนี้เป็นคนละเส้นทางกับที่เราไปกรินเดลวัลด์ในไม่กี่วันก่อน เป็นธรรมดาของการนั่งรถไฟที่นี่ไปแล้ว (หรืออาจเป็นความคุ้นชินของเราไปแล้ว) รถไฟพาเราวิ่งผ่านวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของหุบเขาสวิสฯ ​สายลมเย็นผ่านหน้าต่างเข้ามาปะทะใบหน้า และผู้โดยสารบางตาตลอดการเดินทาง
มองไปเห็นหมอกลอยตัวอยู่ในแอ่งหุบเขา
ฝั่งกรินเดลวัลด์ฟ้าค่อนข้างใส

บนยอดเขาตฃลอดทางเองยังคงมีเมฆปกคลุม
บางยอดเขาตระหง่านอยู่ข้างทางจนต้องแหงนมอง
เมื่อมาถึงกรินเดลวัลด์ เราเดินจากสถานีด้วยความคุ้นเคยเส้นทาง ไปยังจุดนั่งกระเช้าขึ้น First ซึ่งเมื่อวันก่อนปิดไม่ให้เราขึ้น แต่วันนี้เราพบนักท่องเที่ยวสองสามคนก่อนหน้ากำลังซื้อบัตรอยู่ เมื่อถึงคิวเรา ก็แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าเราใช้ Swiss Pass เช่นเคย
แผนที่ First
กระเช้าพาเราลอยสูงขึ้นเรื่อยๆผ่านเนินเขาและบางส่วนของกรินเดลวัลด์ ผลจากสภาพอากาศทำให้ยังคงมีหมอกปกคลุมในบริเวณนี้เช่นเดียวกับบนยอดจุงเฟรา แม้ไม่หนักเท่าแต่ก็ส่งผลให้บางช่วงระหว่างนั่งกระเช้า เราถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอก เสมือนว่าเรานั่งอยู่ในกล่องที่ลอยอยู่ในเมฆขาวโพลน มองเห็นเป็นช่วงๆว่ากระเช้าแขวนอยู่สูงแค่ไหนให้พอหวาดเสียว แต่จากหน้าต่างเรามองเห็นเพียงเส้นเชือกที่กระเช้าแขวนอยู่ซึ่งนำทางหายเข้าไปในหมอกหนาเบื้องหน้าเท่านั้น

เมื่อมาถึงจุดลงกระเช้าจุดแรก จะมีแขนหุ่นยนต์เอารถ "First Mountain Cart" แขวนติดกับกระเช้าทุกอันเพื่อฝากขึ้นไปยังสถานีด้านบน เจ้ารถนี่จะเป็นเหมือนกับรถให้เรานั่งเพื่อไหลจากด้านบนลงมาตามสันเขาที่จัดไว้ให้เป็นทางเล่น เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งของที่นี่
กระเช้าที่พาเราขึ้นมา ขวามือไกลๆจะเห็นแถวที่มีคนต่อเพื่อรอเล่น Flyer และ Glider ซึ่งเป็นเครื่องเล่นของที่นี่
เมื่อมาถึงบน First ยังสามารถต่อสกีลิฟต์ขึ้นไปได้อีกต่อนึงเพื่อเล่นสกี แต่จาก First จุดนี้เราสามารถเดินต่อไปยังทะเลสาบ Bachalpsee ได้โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (ไปกลับก็ 2) แต่แนะนำว่าต้องเผื่อเวลามากกว่านี้ เพราะระหว่างทางจะเต็มไปด้วยวิวสวยๆให้แวะชมแวะถ่ายรูปตลอดทุกก้าว

ส่วนเราไม่ได้ไปเพราะไม่ทันเวลา จะกลับมาไม่ทันลงกระเช้าปิด (ใครจะเดินไปช่วงบ่ายวางแผนเดินกลับมาให้ทันลงกระเช้าด้วยนะ)

เราจึงใช้เวลากับบริเวณ First นี่ โดยเดินเล่นบน Cliff Walk ซึ่งทำเป็นทางเดินเรียบหน้าผา ที่มีปลายยื่นออกไปบริเวณหุบเขาเมืองกรินเดลวัลด์ และเดินเล่นชมวิวบริเวณโดยรอบ
Cliff Walk
ร้านอาหาร Berggasthaus First
ลานบริเวณ Berggasthaus First และธงสวิสฯปลิวตามแรงลม
วิวจากจุดที่ลงกระเช้าข้างล่างใต้หมอกหนานั่นคือเมืองกรินเดลวัลด์
จุดนั่งชมวิว
หลังจากถ่ายรูปและนั่งกินวิวกันจนอิ่มแล้ว เราเห็นพ้องกันว่า ลงไปเผื่อเวลาไว้ก่อนก็ได้ จากเดิมที่กะไว้ว่าช้าสุด คือ กระเช้ารอบสุดท้าย 17.00 (รถไฟรอบสุดท้ายของเราในการกลับไปเอากระเป๋า คือ 18.00 ก็จะฉิวเฉียดหน่อยๆ) แต่เมื่อทุกคนอิ่มเอมกับบรรยากาศจนพอ (และน่าจะเริ่มหิวกันแล้ว) เราจึงนั่งกระเช้าลงมารอบ 16.45 และสนุกสนานกับการดูคนเล่นเครื่องเล่นต่างๆระหว่างทาง

อะไรบางอย่างทำให้เราหยิบมือถือขึ้นมาตรวจเช็คเวลารถไฟดูอีกครั้ง แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น รอบรถไฟที่จะกลับไป Kleine Scheidegg เหลือรอบสุดท้ายเวลา 17.00 นั่นหมายถึงเราไม่สามารถกลับไปยัง Kleine Scheidegg เพื่อเอากระเป๋าได้อีกแล้ว

เอ้า ทำไงล่ะทีนี้ เมื่อเช้ายังมีเที่ยวรถไฟอยู่เลยแท้ๆ

ลงจากกระเช้าเราเดินกันไปที่สถานีรถไฟกรินเดลวัลด์ ได้ความว่ารถไฟไป Kleine Scheidegg นั้นหมดแล้วจริงด้วยสภาพอากาศที่รุนแรงกว่าเก่า จึงสามารถเดินรถไปยัง Kleine Scheidegg ได้เที่ยวสุดท้ายแค่ตอน 17.00 ซึ่งรถออกไปแล้ว

"Can I help you?" คุณพนักงานรถไฟถาม

เราเล่าเรื่องกระเป๋าให้เค้าฟัง ว่ากระเป๋าเดินทางทั้งหมดเราค้างอยู่ที่ Kleine Scheidegg และเราจองที่พักไว้ที่ อินเทอร์ลาเคน เป็นไปได้หรือไม่ที่เราพอจะให้ส่งกระเป๋าตามไปที่นั่น

คุณพนักงานบอกว่าเดี๋ยวจะถามให้ แต่เธอต้องโทรไปที่สถานี Kleine Scheidegg และตามหากระเป๋าเราก่อน เราจึงให้ข้อมูลการฝากกระเป๋าไป หลังจากดูแลกับนักท่องเที่ยวที่มาสอบถาม เธอเรียกเราไปและบอกข่าวดี

"มีรถไฟจาก Kleine Scheidegg กำลังจะออกเดินทางมาที่นี่ และฉันแจ้งให้พวกเค้าเอากระเป๋าติดมาให้คุณที่นี่เลย คุณสะดวกแบบนี้กว่าไหม?" เธอถาม

แน่นอนว่าเรายินดีกับ solution นี้มากๆ เรากล่าวขอบคุณอย่างโล่งใจ มีเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนที่รถไฟจาก Kleine Scheidegg และกระเป๋าพวกเราจะมาถึง ระหว่างนี้เพื่อเป็นการฉลอง และความโล่งใจที่แปรเปลี่ยนเป็นความหิว เราจึงไปยังซูเปอร์มาเก็ตของกรินเดลวัลด์ ซึ่งมีของขายเยอะแยะ ได้ขนมและวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็นนี้มาเพียบ

เมื่อรถไฟมาถึง เรารับกระเป๋าและยกขึ้นรถไฟขบวนข้างๆกัน ซึ่งจะออกเดินทางไปยังอินเทอร์ลาเคนอย่างพอเหมาะพอดี

สุดท้ายเรามาถึงอินเทอร์ลาเคนตอนหนึ่งทุ่ม และต่อรถบัสอีกสามป้ายไปยังเกสต์เฮ้าส์ที่เราจองไว้ เป็นเกสต์เฮ้าส์ขนาดใหญ่และมีส่วนกลางเพียบพร้อม ทั้งโต๊ะปิงปอง โต๊ะเล่นเกม ห้องนั่งเล่น และห้องครัวขนาดใหญ่สำหรับเตรียมอาหาร
ปิดท้ายด้วยรูปจาก First กันอีกรูป
เป็นอันจบวันด้วยมื้ออาหารมื้อใหญ่ และคืนนั้นหลังจากอาบน้ำและพูดคุยกันเล็กน้อย เมื่อปิดไฟ เราก็หลับไปเป็นคนแรก

ในตอนหน้าเราจะเดินทางไปยังยอดของอินเทอร์ลาเคนกันเพื่อชมภาพมุมสูงของเมืองที่อยู่ระหว่าง 2 ทะเลสาบ และล่องเรือข้ามทะเลสาบ Thun กัน

ขอบคุณที่ติดตามตอนนี้และโปรดติดตามตอนต่อๆไปด้วยจ้า

ปล. ถ้าใครอ่านแล้วชอบ ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยจะขอบคุณมากเลย <3

ทริปรอบนี้ : PLAN เที่ยว มิวนิค+สวิส
ตอนที่ 1 : #MUNICHSWISS : DAY1 พาเที่ยวมิวนิค เมืองหลวงแห่งแคว้นบาวาเรีย
ตอนที่ 2 : #MUNICHSWISS : DAY2 MUNICH RESIDENZ พระราชวังหลวงแห่งแคว้นบาวาเรีย
ตอนที่ 3 : #MunichSwiss : Day3 Deutsches Museum และเดินทางสู่ Fussen
ตอนที่ 4 : #MUNICHSWISS : DAY4 ปราสาทชื่อดังแห่งแคว้นบาวาเรีย "NEUSCHWANSTEIN"
ตอนที่ 5 Part1 : #MUNICHSWISS : DAY5 TAX REFUND ก่อนเข้าสวิสฯ (PART1/2) 
ตอนที่ 5 Part2 : #MUNICHSWISS : DAY5 ข้ามแดนสู่สวิสฯ และพาเที่ยวซูริค (PART2/2)
ตอนที่ 6 : #MUNICHSWISS : DAY6 ขึ้นภูเขามังกร MT.PILATUS และอนุเสาวรีย์สิงโตแห่งลูเซิร์น
ตอนที่ 7 : #MUNICHSWISS : DAY7 เมืองในหุบเขา "กรินเดลวัลด์"
ตอนที่ 8 : #MUNICHSWISS : DAY8 เลาเทอร์บรุนเนิน เมืองในหุบเขา น้ำตกอลังการ และยอดเขาเจมส์ บอนด์
--------------------------------------------------------------------------------------------------
*ฝากกดไลค์กดแชร์เพจ : https://www.facebook.com/lindaleolenda/ หน่อยนะจ๊ะ คนละจึ๊กสองจึ๊ก <3

ความคิดเห็น