เปิดกระทู้ด้วยภาพสถานีรถไฟอีกเช่นเคย...
|
สถานีรถไฟ Zweilütschinen |
ในวันนี้ เราตื่นเช้ามาพบกับสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ ซึ่งได้คาดการณ์กันไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้ในวันนี้พวกเราทำการตัดสินใจเปลี่ยนแผนกัน
เดิมทีแผนการวันนี้ของเราคือเช็คเอาท์ เอากระเป๋าไปฝากที่สถานี แล้วขึ้นไปบน จุงเฟรา จาก กรินเดลวัลด์ นี่แล้วบ่ายๆจะกลับลงมากรินเดลวัลด์เพื่อย้อนไปเก็บยอดเขาเฟิร์ส ที่พลาดไปเมื่อวานเพราะอากาศที่ปิด ก่อนจะย้ายเมืองไปนอนที่เลาเทอร์บรุนเนินกัน
แต่พยากรณ์อากาศวันนี้บอกเราว่า บริเวณกรินเดลวัลด์วันนี้จะมีฝนตกตั้งแต่สายๆ และตกไปทั้งวันจนถึงเย็น รวมถึงฟ้าปิดเมฆมากบนยอดจุงเฟรา ซึ่งเราสามารถเช็คได้จากกล้องที่สามารถดูผ่านเว็บไซต์แบบสดๆได้เลย (
ดูที่นี่) ว่าสภาพอากาศเป็นยังไง ก่อนตัดสินใจว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้นไป
นี่หมายถึง แม้เราจะฝืนขึ้นไปแต่เราก็จะไม่เห็นอะไรอยู่ดี เพราะจะเต็มไปด้วยหมอกหิมะขาวโพลนจนมองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเองที่ยื่นออกไป (ประเทศแถบยุโรปและญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พยากรณ์อากาศเชื่อถือได้มากๆ เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนชีวิตอย่างแท้จริง ดังนั้นหากคุณตรวจสอบล่วงหน้าแล้วว่าสภาพอากาศในวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ก็ขอแนะนำให้เตรียมตัวตามนั้นได้เลย)
ด้วยความที่ จุงเฟรา นั้นเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของทริปนี้ แม่สาวน้อยฉายา "Top of Europe" ที่เราตั้งใจมาชม ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงเปลี่ยนแผน โชคดีที่พอเช็คสภาพอากาศแล้วในวันพรุ่งนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าบนยอดจุงเฟราจะมีเมฆน้อยกว่าวันนี้ (แต่ก็ยังคงมีเมฆ) ซึ่งพอมองภาพบนยอดจากเว็บแคมแบบสดๆ ณ ตอนนั้นแล้ว ยังไงวันพรุ่งนี้ก็สภาพอากาศดีกว่าวันนี้แน่นอน เราจึงตัดสินใจสลับแพลนโดยวันนี้เราจะไปเลาเทอร์บรุนเนินแทน ด้วยสภาพฟ้าปิดแบบนี้อย่างน้อยเมืองนั้นก็มีน้ำตกและวิวทิวทัศน์อีกแบบให้เดินเล่นเดินดู แล้วพรุ่งนี้เราค่อยเสี่ยงขึ้นจุงเฟรา
ดังนั้นเช้านี้ หลังจากทานมื้อเช้าง่ายๆที่คุณป้าเจ้าของที่พักเตรียมไว้ให้ (ขนมปัง แยมกับชีส และคอนเฟล็กกับนม มีแฮมนิดหน่อย) เราจึงเก็บของแล้วนั่งรถไฟออกจากกรินเดลวัลด์มุ่งหน้าสู่เลาเทอร์บรุนเนิน โดยนั่งรถไฟออกจากกรินเดลวัลด์มาถึงสถานี Zweilütschinen ซึ่งเป็นสถานีสามแยก อินเทอร์ลาเคน-กรินเดลวัลด์-เลาเทอร์บรุนเนิน เป็นสถานีรถไฟเล็กๆกลางหุบเขาซึ่งสวยมาก ทำเลเงียบๆสงบๆ ได้บรรยากาศการเดินทางด้วยรถไฟในยุโรปมากเลย
จากสถานีรถไฟ Zweilütschinen ไม่นาน เราก็มาถึงเลาเทอร์บรุนเนิน...
|
ภาพบรรยากาศเมือง Lauterbrunen (เลาเทอร์บรุนเนิน) ระหว่างเดินจากสถานีรถไฟไปยังที่พัก |
ที่พักของเราวันนี้เป็นโรงแรมที่ชั้นล่างเป็นบาร์ (ซึ่งท่าทางจะเป็นที่นิยมของชาวเมือง) เราลากกระเป๋าเข้าไปในบาร์เพื่อติดต่อจัดการห้องพัก แต่ระหว่างทางสังเกตเห็นว่าท้องฟ้าดูสว่าง และท่าทางเปิดกว่าตอนอยู่กรินเดลวัลด์ ดังนั้นเราจึงเช็คสภาพอากาศอีกครั้งและพบว่าบริเวณนี้อากาศค่อนข้างดี เมื่อถามความเห็นพนักงาน (ซึ่งเป็นชาวเช็ค แต่มาทำงานที่สวิสฯนี่ ?! ตอนแรกนึกว่าเป็นคนท้องถิ่น) ก็ได้คำแนะนำว่า อากาศแบบนี้สามารถขึ้นไปยังยอด Schilthorn ได้ และเธอพึ่งจะแนะนำนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มให้ขึ้นไปวันนี้เหมือนกัน
"ดูบนจอเหนือบาร์ก็ได้ เราเปิดกล้องที่ถ่ายทอดสดบรรยากาศข้างบนไว้ด้วย เผื่อพวกคุณจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น" เธอกล่าวพร้อมชี้ให้เราดูจอทีวีเหนือบาร์ (ลองดูได้
ที่นี่)
ดังนั้นแล้วเราจึงได้อัพเดทแผนการของวันนี้ ก่อนที่เราจะเดินเที่ยวในเมืองและชมน้ำตกของเลาเทอร์บรุนเนิน เราจึงตัดสินใจจะไปขึ้นยอดเขา Schilthorn ก่อน
|
ภาพวิวฝั่งตรงข้ามจากจุดรอรถบัสเพื่อไปยังทางขึ้น Schilthorn |
เราเดินทางจากเลาเทอร์บรุนเนินไปยังจุดขึ้นกระเช้า (เพื่อขึ้นไปบนยอด Schilthorn อีกที) ด้วยรถบัสได้ตามป้ายรถบัสที่มีกระจายอยู่ในแต่ละจุดของเมือง ระหว่างเดินไปยังป้ายรถบัสก็จะเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ของเมืองนี้ที่เป็นเมืองในหุบเขา มีน้ำตกจากชะง่อนผาสูง และแม่น้ำไหลผ่าน
นั่งรถบัสไม่นานเราก็จะมาถึงจุดขึ้นกระเช้าที่หมู่บ้าน Murren ซึ่งห่างออกมาจากตัวเมืองเลาเทอร์บรุนเนินนิดเดียว
|
มองจากจุดขึ้นกระเช้ากลับไปทางเลาเทอร์บรุนเนิน |
เมื่อมาถึงเราไปซื้อตั๋วสำหรับโดยสารกระเช้า ซึ่งแน่นอนว่าบัตรเบ่ง Swiss Pass ของเราใช้ลดราคาได้อีกเช่นเคย
|
บัตรขึ้นกระเช้าไปบนยอดเขา |
ยอดเขา Schilthorn นี้เป็นยอดเขาที่มองลงไปจะเห็นบริเวณหุบเขาของเลาเทอร์บรุนเนิน ระหว่างที่ขึ้นกระเช้ามาจะต้องมีการต่อกระเช้าตามจุดต่างๆ โดยในแต่ละจุดก็จะมีเส้นทางที่เราสามารถเดินออกไปดูอะไรได้อีกไกลถ้าสภาพอากาศเป็นใจ เช่น สถานี Berg ซึ่งมี Skyline walk ให้เราเดินบนเส้นทางที่พื้นเป็นตาข่ายมองทะลุเห็นวิวเบื้องล่าง นอกจากนี้ยังกระเช้าเส้นนี้เป็นเส้นทางกระเช้าที่ยาวที่สุดของเทือกเขาแอลป์อีกด้วย
|
ภาพที่มองจากกระเช้าลงไป มองเห็นวัวในทุ่งหญ้า |
|
สภาพกระเช้า ในวันที่เราขึ้นมีพายุหิมะเบาๆระหว่างทาง |
|
สภาพภายในกระเช้า โคลงเคลงและมองไม่เห็นอะไร แต่จริงๆหากฟ้าใสจะมองเห็นหุบเขาสวยงาม |
ในปี 1969 ยอดเขานี้เป็นฉากถ่ายทำที่ซ่อนตัว (หรือสถานที่วิจัย) ของตัวร้ายในภาพยนต์เจมส์ บอนด์ 'On Her Majesty's Secret Service' และบนนี้ยังจัดแสดงนิทรรศการ 'Bond World 007' ที่จัดแสดงทั้งข้อมูล ฉากหนัง และเบื้องหลังการถ่ายทำ รวมถึงอุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆ ซึ่งกลายมาเป็นอีกจุดเด่นสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน
|
บริเวณที่เป็นที่จัดแสดง Bond World 007 |
|
On Her Majesty Secret Service |
บนจุดยอดสุดที่ Piz Gloria เป็นร้านอาหารแบบ 360 องศา แน่นอนว่าราคาแพงเอาเรื่อง เมนูที่คนมักจะมาสั่งกันที่นี่คือเครื่องดื่ม "มาตินี่ เขย่า แต่ไม่คน" ("Martini, shaken not stirred") ซึ่งเป็นเครื่องดื่มประจำตัวเจมส์ บอนด์ นั่นเอง และด้านนอกเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นวิวรอบทิศทางจากบนยอดสุด เราสามารถมองออกไปเห็นยอดเขาได้กว่า 200 ยอดเขา วางสลับลับเหลี่ยมเขากันไปจนสุดสายตา มองเห็นเป็นวิวยอดเขาสีขาวโพลนไกลออกไป
|
บริเวณด้านนอกที่เป็นจุดชมวิว ยังคงมีเจมส์ บอนด์ประกอบฉาก |
|
มองย้อนกลับไปเห็น Piz Gloria และจุดที่เราขึ้นกระเช้ามา |
|
ยอดเขาทะมึน |
|
ทางเดินที่ไม่แน่ใจว่าสำหรับนักท่องเที่ยวรึป่าว |
|
หากไม่มีหมอก เราจะมองเห็นเป็นทิวเขาสลับซับซ้อนไกลออกไป |
|
เทือกเขายาวออกไปไกล เพราะบริเวณนี้เป็นหุบเขายาวไปหมด |
|
วิวจากจุดชมวิว |
|
สถานีที่เหมือนกับเป็นเกาะท่ามกลางทะเลหมอก |
|
วิวจากอีกฝั่ง ภูเขาที่หลบตัวอยู่ในสายหมอก |
|
ฝั่งนี้ไม่ค่อยโดนลมพัดเมฆมาบัง |
เฉพาะบนยอดนี้ก็มีจุดชมวิวได้เดินชมรอบเมื่อรวมกับนิทรรศการเจมส์ บอนด์ ก็ต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่อย่างน้อย 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ยังไม่รวมการแวะเดินเล่นที่สถานี Berg กับ Murren อีก ก็ต้องบอกว่าต้องการอย่างน้อย 1 วันเต็มๆสำหรับละแวกนี้
|
ทิ้งท้ายด้วยภาพมุมกว้างจาก Schilthorn |
จาก Schilthorn เราเดินทางกลับมายังเลาเทอร์บรุนเนิน ด้วยวิธีเดิมคือนั่งกระเช้าลงมาแล้วต่อรถบัส ยังพอมีเวลาเหลือพอที่จะเดินเล่นในเมือง
เลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunen) เป็นเมืองในหุบเขาซึ่งมีมุมสวยๆในแต่ละจุดของเมืองเยอะมากๆ ภาพที่คุ้นชินซึ่งหลายๆคนน่าจะเคยเห็น คือ ภาพของเมืองในหุบเขา ขนาบข้างด้วยหน้าผาชันและมีน้ำตกขนาดใหญ่
|
น้ำตก Staubbach และโบสถ์ประจำเมือง |
เราเดินเล่นมาตามถนนในเมืองเรื่อยๆ จนมาถึงน้ำตก Staubbach ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของที่นี่โดยปริยาย เนื่องจากเรามักเห็นรูปภาพของเมืองนี้โดยมีน้ำตกสูงนี้เป็นฉากหลังอยู่บ่อยๆ ข้างหลังมีทางเดินสำหรับนักท่องเที่ยว สามารถเดินไปหลังม่านน้ำตกได้ด้วย
|
Staubbach Waterfall |
|
น้ำตกอีกมุม |
|
จะสังเกตุว่าด้านหลังจะเป็นทางเดินไปหลังน้ำตกได้ |
สุดท้ายเราเดินเล่นในเมืองจนเริ่มมืด (หรือเริ่มหิว) ก็กลับที่พัก เป็นอันจบวัน...
|
เดือนตุลาคม เริ่มมีใบไม้เป็นสีเหลืองตามพื้น |
ปล. เมื่อตอนต้นเราบอกไปว่า ชั้นล่างของโรงแรมเราเป็นบาร์ ปรากฏว่ากลางคืนเมื่อลองลงมาดูค่อนข้างคึกคัก แต่ไม่อึกทึก (นึกออกไหม?) เป็นบรรยากาศเหมือนกับชาวเมืองมารวมตัวกัน กินอาหารเย็น กินเบียร์ ดูทีวีในร้าน มีเสียงพูดคุยอยู่ในอากาศ และนอกชานก็มีกลุ่มเพื่อนโต๊ะสองโต๊ะที่นั่งกินเบียร์กัน อากาศเย็นๆ บทสนทนาระหว่างเพื่อน เบียร์ในมือ ดาวเต็มท้องฟ้า และเสียงน้ำตกมาแต่ไกล
ในตอนหน้าเราจะเดินทางไปยัง จุงเฟรา ที่ได้รับฉายา "Top of Europe" และกลับมากรินเดลวัลด์ First ก่อนจะย้ายไปยัง อินเทอร์ลาเคน (Interlaken) กัน
ขอบคุณที่ติดตามตอนนี้และโปรดติดตามตอนต่อๆไปด้วยจ้า
ปล. ถ้าใครอ่านแล้วชอบ ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยจะขอบคุณมากเลย <3
ทริปรอบนี้ :
PLAN เที่ยว มิวนิค+สวิส
ตอนที่ 1 :
#MUNICHSWISS : DAY1 พาเที่ยวมิวนิค เมืองหลวงแห่งแคว้นบาวาเรีย
ตอนที่ 2 :
#MUNICHSWISS : DAY2 MUNICH RESIDENZ พระราชวังหลวงแห่งแคว้นบาวาเรีย
ตอนที่ 3 :
#MunichSwiss : Day3 Deutsches Museum และเดินทางสู่ Fussen
ตอนที่ 4 :
#MUNICHSWISS : DAY4 ปราสาทชื่อดังแห่งแคว้นบาวาเรีย "NEUSCHWANSTEIN"
ตอนที่ 5 Part1 :
#MUNICHSWISS : DAY5 TAX REFUND ก่อนเข้าสวิสฯ (PART1/2)
ตอนที่ 5 Part2 :
#MUNICHSWISS : DAY5 ข้ามแดนสู่สวิสฯ และพาเที่ยวซูริค (PART2/2)
ตอนที่ 6 :
#MUNICHSWISS : DAY6 ขึ้นภูเขามังกร MT.PILATUS และอนุเสาวรีย์สิงโตแห่งลูเซิร์น
ตอนที่ 7 :
#MUNICHSWISS : DAY7 เมืองในหุบเขา "กรินเดลวัลด์"
--------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น