#MUNICHSWISS : DAY5 ข้ามแดนสู่สวิสฯ และพาเที่ยว Zurich (Part2/2)

จากตอนที่แล้ว หลังจากข้ามแดนผ่านด่านตรวจมา นั่งรถต่อมาอีกประมาณชั่วโมงนึงเราก็จะมาถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้ และเป็นเมืองแรกของสวิสเซอร์แลนด์ของเรา นั่นคือ Zurich

เมื่อมาถึง Flexbus จะพาเรามาส่งตรงข้างๆกับสถานีรถไฟซูริค เนื่องจากที่พักเราอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ เราจึงเดินลากกระเป๋าไปยังโรงแรมกันก่อนแล้วหลังจากพักผ่อนและเตรียมตัว (ซึ่งในที่นี้ก็คือการซื้อของกินเตรียมตุนไว้ที่โรงแรมด้วยเผื่อขากลับมาหิวนั่นเอง) แล้วเราก็เดินกลับมาเริ่มต้นที่สถานีรถไฟซูริคใกล้ๆกับจุดที่เราลงรถบัสเมื่อตะกี้
จากสถานีรถไฟจะมีแม่น้ำ Limmat ไหลผ่านข้างๆ และแม่น้ำอีกสายคือแม่น้ำ Sihl ที่ไหลผ่านลอดสถานีรถไฟ
สาเหตุก็เพราะ จุดท่องเที่ยวสำคัญๆหลักๆของเมืองนี้นั้น ทั้งโบสถ์และเขตเมืองเก่าที่เป็นอาคารสวยงาม จะตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟไปจนถึงทะเลสาบซูริค ตลอดทางเลียบแม่น้ำ Limmat ไป ดังนั้นเราจะเดินไปตามแนวแม่น้ำผ่านแหล่งท่องเที่ยวขาไป ไปสิ้นสุดที่ทะเลสาบซูริค และกลับโดยเดินเลียบแม่น้ำอีกฝั่งกลับมายังสถานีรถไฟเช่นเดิม

เล่าก่อนว่า เมืองนี้มีโบสถ์หลักซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอยู่ 4 แห่ง คือ Grossmünster (หรือ Great Minster), Fraumünster, St. Peter และ Predigerkirche ซึ่งเราจะลัดเลาะไปจนครบทุกแห่งในตอนจบ

จากบริเวณสถานีรถไฟ มุ่งหน้าลงใต้เลียบแม่น้ำ Limmat ลงมาเรื่อยๆ จะพบกับเนินขนาดใหญ่หรือก็คือ  Lindenhof ซึ่งเดิมเคยเป็นที่ตั้งของปราสาทสมัยโรมัน และถูกใช้เป็นจุดรวมตัวของชาวเมืองในโอกาสสำคัญๆมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 ทว่าในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง ด้วยความที่เป็นพื้นที่สีเขียวปลอดรถยนต์ในใจกลางเมืองเก่า และเป็นจุดโปรดของผู้มาเยือนในการชมเมืองจากมุมสูงซึ่งสามารถมองเห็นข้ามแม่น้ำ Limmat ไปยังเขตเมืองเก่าอีกฝั่งได้เลย
เมื่อมองข้ามแม่น้ำไปยังเขตเมืองเก่าจะมองเห็นยอดแหลมของโบสถ์ Predigerkirche
หากหันไปทางด้านทะเลสาบซูริคจะมองเห็นยอดหอคอยคู่ของโบสถ์ Grossmünster
หลังจากนั่งชมวิวบนเนิน Lindenhof จนพอ หากเราเลี้ยวขวาเล้วเดินตัดผ่านมาอีกบล็อคจะพบกับถนน Bahnhofstrasse ซึ่งเป็นถนนเส้นที่มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่นักช็อป เพราะเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ถนนช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงระดับโลกแห่งนี้สร้างขึ้นหลังจากการก่อสร้างสถานีรถไฟของเมือง ณ จุดที่เคยเป็นคูเมืองเก่าเมื่อ 150 ปีที่แล้ว แต่ในวันนี้กลายเป็นถนนสายสำคัญทางเศรษฐกิจของเมืองที่เชื่อมทะเลสาบซูริคกับสถานีรถไฟ ที่ย่านนี้เราจะพบกับร้านค้าแบรนด์เนมมากมาย ร้านนาฬิกาเก่าแก่ ไปจนถึงจตุรัส Paradeplatz ซึ่งเป็นจุดที่มีราคาที่ดินแพงที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์

แต่จาก Lindenhof นั้นเราเดินต่อลงใต้เลียบแม่น้ำลงมาเรื่อยๆ จนค่อยๆเห็นยอดของโบสถ์ Church of St. Peter โผล่พ้นหลังคามา
โบสถ์ St. Peter และหน้าปัดนาฬิกาอันโด่งดังในยามที่ใบไม้เปลี่ยนสี
โบสถ์สไตล์ผสมโรมัน-โกธิค-บาโร้ค (หลายแขนงแฮะ) แห่งนี้นั้นถูกสร้างขึ้นบนส่วนที่เหลือของโบสถ์เก่าแก่จากสมัยก่อนศตวรรษที่ 9 และมีจุดเด่น คือ เป็นโบสถ์ที่มีนาฬิกาบนหอคอยที่ "ใหญ่ที่สุดในยุโรป" ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะแวะเวียนมาถ่ายรูปกัน

เดินต่อลงมาอีกไม่ไกลจะพบกับโบสถ์อีกแห่ง คือ Fraumünster ซึ่งจะค่อยๆเผยโฉมยอดแหลมออกมา เป็นสัญญาณว่าเราอยู่ไม่ไกลจากทะเลสาบซูริคแล้ว
โบสถ์ Fraumünster
จตุรัสบริเวณโบสถ์ Fraumünster
จากจุดนี้ หากเราข้ามสะพานบริเวณด้านข้างโบสถ์ไป ก็จะข้ามไปยังเขตเมืองเก่าอีกฝั่งของแม่น้ำ Limmat ตรงกับโบสถ์ยอดคู่ Grossmünster พอดี
หากข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งจะเจอกับโบสถ์ Grossmünster
แต่เดี๋ยวเราจะวนกลับมาอยู่ดี ให้เราเดินต่อไปตามแม่น้ำอีกนิด ซึ่งระหว่างนั้นสังเกตุว่าแม่น้ำ (ซึ่งใสมาก ใสจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นแม่น้ำกลางเมืองใหญ่ สะท้อนเลยว่ามาตรฐานของคนที่นั่นกับเราต่างกันมากจนน่าแปลกใจ) จะค่อยๆเห็นหงส์ (หรือเป็ด) แหวกว่ายไปมามากขึ้นเรื่อยๆ เดินมาจนสุดข้ามถนนมาก็จะถึงบริเวณที่เป็นจุดชมวิวทะเลสาบซูริค
น้ำพุ Springbrunnen Aquaretum ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของทะเลสาบแห่งนี้
จุดเทียบเรือ Limmat-Schifffahrt ซึ่งยื่นลงไปในทะเลสาบ
บริเวณนี้เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง เป็นจุดที่ผู้คนพากันออกมาเดินเล่น หรือมานั่งคุยกันยามเย็นพร้อมกันรับลมจากทะเลสาบ ซึ่งหากมีเวลาเราสามารถล่องเรือชมทะเลสาบซูริคได้ด้วย

หลังจากนั่งพักชมทะเลสาบและถ่ายรูป เราวกย้อนกลับมาจะเจอกับสะพานชื่อดัง คือ สะพาน Quaibrücke
สะพาน Quaibrücke ซึ่งจะพาเราข้ามไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ
สะพาน Quaibrücke มีชื่อเสียงเพราะเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะสามารถเก็บภาพของเมืองซูริคได้อย่างครบถ้วนในภาพเดียว เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปจากตำแหน่งของกลางสะพานแห่งนี้ จะได้พบกับทั้งแม่น้ำ Limmat ก่อนไหลลงทะเลสาบ และยังมองเห็นยอดของโบสถ์สำคัญทั้ง 4 แห่งของเมืองได้อย่างครบถ้วนด้วย แถมยังอยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบซูริค ดังนั้นนี่จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักจะมาเก็บภาพกัน
วิวจากสะพาน Quaibrücke เมื่อมองย้อนกลับขึ้นไป
หลังจากเดินข้ามสะพานมา เดินเลียบแม่น้ำย้อนกลับขึ้นไป ระหว่างทางจะพบกับร้านรวงขายสินค้า และร้านขายนาฬิกาอยู่เรื่อยๆ
ยอดโบสถ์ Grossmünster ยามกลางคืน
มองย้อนข้าม ฝั่งกลับไปจะเห็นยอดโบสถ์ Fraumünster และ St. Peter
เมื่อเดินย้อนกลับขึ้นมาจนผ่านโบสถ์ Grossmünster และตัดเลาะไปทางขวาหนึ่งบล็อค แล้วเดินขึ้นมาตามทางเรื่อยๆ บริเวณนี้จะเป็นย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่ ซึ่งเป้าหมายของเรา คือ ร้านชีสฟองดูว์ร้านดัง "Swiss Chuchi"

ร้าน Swiss Chuchi นั้นตั้งอยู่ที่ Hotel Adler Zürich ซึ่งอยู่ใกล้กับโบสถ์ Predigerkirche เป็นร้านฟองดูชีสชื่อดัง (มากๆ) ของเมืองนี้ แนะนำว่าหากอยากลองและไม่อยากรอนานก็ให้จองคิวไปก่อนล่วงหน้า (จริงๆตามธรรมเนียม สำหรับมื้อเย็นร้านละแวกนี้นั้นต้องจองก่อนทั้งนั้น ไม่งั้นก็ยากที่จะมีโต๊ะ) แต่เราไม่ซีเรียส เราก็ไปแบบไม่ได้จองล่วงหน้า ทำให้ต้องกลุ่มเราต้องรอคิวท่ามกลางลมหนาวอยู่หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ (และบริเวณหน้าร้านก็เต็มไปด้วยคนรอคิวมากมาย) โดยระบบคิว คือ จะมีทั้งคนที่จองมาแล้วมารอคิว ซึ่งจะได้ Priority ก่อนและได้กินแน่ๆ ตามเวลาที่จองโต๊ะไว้ และคนที่มารอคิวแบบวัดดวง (แบบเรา) โดยจะมีโต๊ะทั้งแบบนั่งในร้านหรือด้าานนอกร้านก็แล้วแต่คิวที่จะเรียกเรา เมื่อถึงคิวจะมีพนักงานออกมาหน้าร้านและพาเราเข้าไปยังโต๊ะ บางทีเราอาจได้โต๊ะที่มีคนจองไว้แต่อีกนานกว่าจะถึงเวลานัด ก็จะแจ้งเราว่ามีเวลาทานนานแค่ไหน
เมนูของร้านนี้มีทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีรูปนะ
หากใครสันทัดจะสั่งไวน์มากินกับชีสก็ได้ ในตอนแรกเรากะว่าจะแค่สั่งฟองดูว์ชีสมาลองแบ่งๆกันกิน แต่พนักงานบอกว่า เรามา 4 คน เราต้องสั่งสี่อย่าง ก็งงๆแต่สุดท้ายก็สั่งมาจนครบ
แซลม่อนซอสไวน์ขาวผักโขม ฟองดูว์ชีส ซีซาร์สลัด ส่วนตะกร้าขนมปังนั้นให้มาไว้กินกับฟองดูว์
ฟองดูว์ชีสเสริฟมาในหม้อแดงแบบเอกลักษณ์สวิสฯแท้ๆเลย
สำหรับเราฟองดูว์ชีสนี้กลิ่นออกเปรี้ยวแรงมาก จนทานไม่ค่อยไหว ชิมเอาคำสองคำแล้วก็เชิญเพื่อนที่เป็นสายชีสกินให้เต็มที่เลย (ปกติก็ไม่ค่อยกินชีสอยู่แล้ว) แต่แม้กระนั้นขนาดเพื่อนที่ชอบชีสก็ยังไม่สามารถกินได้จนหมดชุด โดยสรุปคือสำหรับเราและชาวคณะ ไม่ค่อยผ่านเท่าไร เรียกว่าไม่ถูกปากดีกว่า เพราะเห็นโต๊ะข้างๆ หรือแม้กระทั่งมิตรสหายคนอื่นที่เคยมาก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่ฟองดูว์ชีสร้านนี้ใส่แชมเปญ (หรือแอลกอร์ฮอล์) ไม่เยอะมาก เน้นชีสมากกว่า ซึ่งถือเป็นข้อดี ส่วนเมนูอื่นๆถือว่าอร่อยตามมาตรฐาน ทั้งแซลม่อน และสลัดซีซาร์

หลังจากกินเสร็จ เมื่อเดินออกมาเราสามารถเดินต่อไปชมโบสถ์ Predigerkirche ต่อได้เพราะอยู่ใกล้มาก ถัดไปเพียงบล็อคเดียวเท่านั้น แล้วจึงเดินขึ้นไปอีกหน่อยก่อนเลี้ยวซ้ายข้ามสะพาน Bahnhofbrucke ก็จะกลับมาบรรจบยังสถานีรถไฟซูริคที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรานั่นเอง
เดินทะลุสถานีรถไฟ
เดินทะลุสถานีรถไฟผ่านชาวเมืองที่กำลังได้เวลากลับบ้านพอดี ส่วนเราก็มุ่งกลับไปยังโรงแรม ซึ่งสุดท้ายพวกเราก็กลับไปทำไก่ผัดเทอริยากิกับข้าวกินอีกอยู่ดี...

>>> Freitag
สุดท้ายนี้ถ้าใครชื่นชอบกระเป๋าหนังรถบรรทุกอย่าง FREITAG ก็ไม่ควรพลาด เพราะที่ซูริคนี้มีร้าน Flagship Store ของ FREITAG อยู่ ด้วยความที่เป็นร้าน Flagship นักท่องเที่ยวก็นิยมมาเยอะ ดังนั้นของในร้านอาจจะไม่มาก หากตั้งใจจะมาหาของแนะนำว่าไปหาที่สาขาอื่นเผื่อไว้ด้วยจะดีกว่า แต่สาขา Flagship นี้เป็นร้านที่มีหน้าตาโดดเด่น หากมีเวลาก็แนะนำให้แวะมาถ่ายรูปสักหน่อย

เป็นอันจบเนื้อหาของซูริคแต่เพียงเท่านี้...

ในตอนหน้าเราจะพาไปเที่ยว Lucerne และขึ้นชมวิวเมืองจากมุมสูงบนยอดเขา Pilatus กัน

ขอบคุณที่ติดตามตอนนี้และโปรดติดตามตอนต่อๆไปด้วยจ้า

ปล. ถ้าใครอ่านแล้วชอบ ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยจะขอบคุณมากเลย <3

ทริปรอบนี้ : PLAN เที่ยว มิวนิค+สวิส
ตอนที่ 1 : #MUNICHSWISS : DAY1 พาเที่ยวมิวนิค เมืองหลวงแห่งแคว้นบาวาเรีย
ตอนที่ 2 : #MUNICHSWISS : DAY2 MUNICH RESIDENZ พระราชวังหลวงแห่งแคว้นบาวาเรีย
ตอนที่ 3 : #MunichSwiss : Day3 Deutsches Museum และเดินทางสู่ Fussen
ตอนที่ 4 : #MUNICHSWISS : DAY4 ปราสาทชื่อดังแห่งแคว้นบาวาเรีย "NEUSCHWANSTEIN"
ตอนที่ 5 Part1 : #MUNICHSWISS : DAY5 TAX REFUND ก่อนเข้าสวิสฯ (PART1/2) 
--------------------------------------------------------------------------------------------------
*ฝากกดไลค์กดแชร์เพจ : https://www.facebook.com/lindaleolenda/ หน่อยนะจ๊ะ คนละจึ๊กสองจึ๊ก <3

ความคิดเห็น