19 รูปภาพที่จะทำให้เราอยากไปเที่ยว "นอร์เวย์"

----------------------------------------------------------------------------------- นอร์เวย์เริ่มเป็นที่รู้จักและกลายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกด้วยเหตุผลที่เห็นได้ชัดเจน ในฐานะหนึ่งในประเทศที่สวยงามที่สุดของโลก ที่นี่มีทั้งธารน้ำแข็ง ทิวทัศน์ภูเขา และแสงเหนือ (ฟยอร์ดด้วย ฟยอร์ดจำนวนมาก!) ยิ่งพอเห็นเที่ยวบินและโปรโมชั่นสายการบินจำนวนมากมายังที่นี่แล้วทำให้พลอยสงสัย "เราพลาดที่นี่ไปได้ยังไง" กระนั้นแล้วลองเที่ยวชมทัศนียภาพผ่านบทความนี้ เริ่มจากเมืองริมชายฝั่งอันสวยงามไปจนถึงอุทยานแห่งชาติที่เต็มไปด้วยกวางเรนเดียร์ดูเพื่อเพิ่มความอยากไป

ใครที่เคยเล่น Pinterest หรือ Instagram คงคุ้นตากับวิวจากภาพแรกนี้ “Trolltunga” (หรือที่แปลว่า ‘ลิ้นของโทรล’) สุดยอดวิวที่ยากจะหาใครมาเปรียบเทียบของนอร์เวย์ ชะง่อนหินที่ยื่นออกไปนี้ตั้งอยู่สูงจากทะเลสาบ Ringedalsvatnet กว่า 2,300 ฟุต ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวให้มานั่งยื่นขาให้กับความเวิ้งว้างเบื้องล่าง แย่หน่อยที่ Trolltunga นี้กลับได้รับผลกระทบจากความที่ ‘เป็นที่นิยม’ มากเกินไป จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเพิ่มขึ้นกว่า 100 เท่าตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา องค์กร Friluftsliv (กลุ่มของนักปีนเขาในนอร์เวย์) เริ่มรณรงค์ให้จำกับจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อรักษาสถานที่แห่งนี้ และแม้ว่าเมื่อเรามาแล้วอาจจะไม่ได้นั่งถ่ายรูปบนชะง่อนหิน (ครั้งนึงในชีวิตเชียวนะ!) ไปตั้งเป็นรูปโปรไฟล์เนื่องจากคิวที่ยาวมากในการถ่ายรูปมุมมหาชนนี้ อย่างน้อยเราก็สามารถดื่มด่ำกับวิวของฟยอร์ดสวยงามเบื้องล่างที่รายล้อมด้วยทิวเขาได้ ซึ่งรับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน

เมือง Røros เป็นสถานที่ที่ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดีแห่งหนึ่งของนอร์เวย์ ภาพของจตุรัสกลางเมืองและบ้านเรือนทำจากไม้ที่ดูไม่คุ้นตานับพัน บ้านหลังคากระจกที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 และผู้ชื่นชอบดิสนีย์สมควรมาเยือนเมืองนี้อย่างยิ่ง เพราะยอดเขาหิมะและหุบเขาของที่นี่เป็นแรงบันดาลใจให้กับฉากในการ์ตูนเรื่อง Frozen ด้วย (จริงๆหลายๆฉากที่ปรากฏในการ์ตูนเรื่องนี้ก็มาจากฉากจริงๆของแถบนอร์เวย์นี่แหละ)

อุทยานแห่งชาติ Jotunheimen (ใช่ครับ ‘โยธันไฮม์’ เดียวกับที่ปรากฏในตำนาน(และหนัง)เรื่องของธอร์ นั่นแหละ คำนี้แปลว่า บ้านของเหล่ายักษ์) เป็นสถานที่ที่สวยงาม และเต็มไปด้วยธรรมชาติอยางมากแห่งหนึ่ง ครอบคลุมพื้นที่ 2,200 ตารางไมล์ เส้นทางการเทรคกิ้งของที่นี่จะพาเราลัดเลาะผ่านหุบเขา น้ำตก ธารน้ำแข็ง และภูเขาสูงที่สุดของละแวกแถบนั้น เราอาจโชคดีได้เห็นกวางเรนเดียร์ด้วย เพราะฝูงสัตว์ในอุทยานแห่งนี้มักจะเดินทางไปมากันระหว่างพื้นที่อยู่ภายใน

ถือว่ายังมาไม่ถึงนอร์เวย์ถ้าไม่ได้มาที่ Bergen เมืองที่เป็นที่นิยมอันดับ 2 ของประเทศนี้จากการจัดอันดับเมืองยอดนิยมของยุโรป เมืองที่สวยงามแห่งนี้ปรากฏอยู่บนโปสการ์ดอยู่บ่อยครั้งด้วยฉากหลังที่เป็นเมืองท่า อ่าว บ้านไม้หลากสีที่ตั้งเรียงกัน และรายล้อมด้วยเทือกเขาสวยงาม จึงกลายเป็นที่รู้จักและเป้าหมายของนักท่องเที่ยวได้ไม่ยาก

ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนอร์เวย์ สถานที่แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก ในรูปคือ Geirangerfjord และ Nærøyfjord ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ที่รายล้อมด้วย ฟยอร์ด หลากหลายแห่ง อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยกำแพงหินตามธรรมชาติ ป่าทึบ และน้ำตกจำนวนมากอีกด้วย

เมืองท่าทางตะวันตกแห่งนี้ คือ Ålesund ตั้งอยู่ที่ทางเข้าที่จะพาไปสู่ Geirangerfjord ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าเราจะได้เต็มอิ่มกับความสวยงามจากธรรมชาติมากมาย กระนั้นเมืองนี้ยังซ่อนเสน่ห์ดึงดูดอื่นไว้อีก นั่นคือ ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) เนื่องจากเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงปี 1940 หลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ ดังนั้นอาคารส่วนมากจึงถูกสร้างขึ้นตามสมัยนิยมของช่วงเวลานั้น มีศูนย์ศิลปะด้านอาร์ตนูโวที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมที่ส่งอิทธิพลต่อเมืองนี้ด้วย

Coastal Stavanger เป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 4 ของนอร์เวย์ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของย่านเมืองเก่าจากศตวรรษที่ 18 และการจัดแสดงที่บ่งบอกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก จุดเด่นที่ไม่ควรพลาด คือ อนุเสาสรีย์ Sverd i fjell (แปลว่า ดาบในศิลา) ซึ่งเป็นรูปแกะสลักของดาบสำริด 3 เล่มอยู่ริมฝั่งของฟยอร์ดตั้งตระหง่านสูงถึง 33 ฟุต อนุเสาวรีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1983 เพื่อระลึกถึงการต่อสู้ที่ Hafrsfjord (ในสมัยปีค.ศ. 872) ซึ่งชัยชนะครั้งนั้นส่งผลให้ชนเผ่าที่กระจัดกระจายของนอร์เวย์รวมกันเป็นหนึ่ง ดังนั้นอนุเสาวรีย์นี้จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพและเสรีภาพของนอร์เวย์

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เมือง Stavanger นี้เป็นจุดแวะพักยอดนิยม คือ มันเป็นที่ๆเหมาะมากที่จะเป็นที่ตั้งหลักเพื่อเข้าไปเที่ยวที่ Preikestolen หรือ Pulpit Rock ผาหินอันเลื่องชื่อของนอร์เวย์ที่ตั้งอยู่สูงกว่า 2,000 ฟุตเหนือฟยอร์ดที่รายล้อมโดยรอบ ด้วยลักษณะราวกับเป็นดาดฟ้าเปิดชมวิวที่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ จุดนี้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับทั้งนักท่องเที่ยวธรรมดาๆและนักปีนเขาที่อยากจะขึ้นมาชมวิวจากยอดผาแกรนิตแห่งนี้ หากใครเห็นรูปแล้วอยากมาก็ควรรีบหน่อย เพราะนักธรณีวิทยาของนอร์เวย์วิเคราะห์ว่ามีความเสี่ยงที่ผาหินนี้จะเริ่มการสลายตัวแล้วด้วย 

Trollstigen เป็นหนึ่งในเส้นทางที่เป็นที่รู้จัก (ในแง่ของความน่าหวาดเสียว) แห่งหนึ่งของโลก ทั้งความลาดชันและโค้งปราบเซียน กระนั้นถนนหนึ่งเลนเส้นนี้จะพาเราแล่นผ่านสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าประทับใจเช่นน้ำตก Stigfossen ที่มีความสูง 1,050 ฟุต เป็นต้น และแน่นอนว่าควรพกกล้องติดไปด้วย เพราะจะมีหลายจุดพักชมวิวสำหรับถ่ายรูปสวยๆตามรายทางให้เราได้แวะถ่ายภาพอย่างปลอดภัยจากอุบัติเหตุและผู้สัญจรคันอื่นๆ

โบสถ์ Borgind Stave Church แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1180 เป็นหนึ่งในโบสถ์ไม้เนื้อแข็งแบบนอร์เวย์ ซึ่งโครงสร้างไม้กำหนดเสาและกรอบมุมกันอย่างพอดิบพอดีโดยไม่จำเป็นต้องใช้ตะปูเลยสักตัว โบสถ์แห่งนี้ไม่ได้ใช้ประกอบกิจกรรมทางศาสนาอีกแล้ว ทว่ายังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์สำหรับนักท่องเที่ยวในการให้ข้อมูลต่างๆ และโบสถ์แบบนี้ยังคงสามารถพบได้ในหลายพื้นที่ของนอร์เวย์อีกด้วย

เกาะแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างแผ่นดินนอร์เวย์และขั้วโลกเหนือ Svalbard เป็นหนึ่งในพื้นที่อาศัยที่อยู่เหนือสุดแห่งหนึ่งของโลก เดินทางมายังเกาะนี้ในฤดูหนาวเพื่อชมแสงเหนือ หรือฤดูร้อนเพื่อชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน (พระอาทิตย์จะไม่ลับขอบฟ้าเลยในช่วงประมาณ 20 เมษายน ถึง 22 สิงหาคมของทุกปี) นอกจากนี้ การมาที่เกาะแห่งนี้ยังทำให้เราอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับสัตว์เมืองหนาวที่หาชมได้ยาก เช่น หมีขั้วโลก วอลรัส และตัวนาร์วาฬ ซึ่งทำให้มีโอกาสพบเจอพวกมันตามธรรมชาติอีกด้วย

ออสโลว์ เมืองหลวงของนอร์เวย์ เป็นเมืองที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวและคนต่างถิ่นมากที่สุดแห่งหนึ่ง ลองหาโอกาสมาทานอาหารเย็นที่ Mathallen แล้วแวะดูงานศิลปะร่วมสมัยที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ที่พิพิธภัณฑ์ Astrup Fearnley และสำรวจการออกแบบสไตล์สแกนดิเนเวียที่โดดเด่นผ่านการขี่จักรยานชมเมืองก็เป็นวิธีหนึ่งที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยวชมเมืองนี้

หากต้องการเดินทางขึ้นเหนือมากๆล่ะก็ Tromsø เป็นอีกเมืองที่ไม่ควรพลาด (จริงๆเมืองนี้ก็ขึ้นชื่ออยู่แล้วสำหรับนอร์เวย์น่ะนะ) เพราะตั้งอยู่เหนือเส้นอาร์กติค เซอเคิลกว่า 250 ไมล์ Tromsø จึงเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อมากเรื่องของทำเลที่ตั้งที่เหมาะแก่การดูแสงเหนือ หรือในอีกแง่มุมหนึ่งเมืองนี้ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารและบาร์จำนวนมาก อีกทั้งมีสวนพฤกษศาสตร์พืชเขตหนาว และมีโบสถ์กระจก Arctic Cathedral ด้วย. 

ธารน้ำแข็ง Briksdal เป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายของ Jostedalsbreen และเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดบนทวีปยุโรป หากมีโอกาสได้มาเยือนลองเข้ามาให้ถึงน้ำตก Kleivafossen อันโด่งดังและแวะชมก่อน จากนั้นค่อยข้ามสะพานที่อยู่ติดกับน้ำตกเข้าสู่ Briksdal หรืออาจใช้บริการชมวิวของ Briksdal นี้ผ่านทางเรือที่เรียกว่า “Glacier Safari” ดูก็ได้เหมือนกัน

Olden เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีประชากรประมาณ 500 คน ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของ Nordfjord ซึ่งเป็นจุดแวะเยี่ยมชมสำหรับการล่องเรือ นอกจากโบสถ์และคาเฟ่ที่มีเสน่ห์แล้ว เมืองนี้ยังมีบริการรถบัสไปยังธารน้ำแข็ง Briksdal ด้วย

โลกรู้จักนอร์เวย์อย่างดีในฐานะของสถานที่ชมแสงเหนือที่ขึ้นชื่อ นักท่องเที่ยวมีทางเลือกเสมอที่นี่เพื่อชมปรากฏการจากชั้นบรรยากาศนี้ ไม่ว่าจะเป็นการล่องเรือชมแสงเหนือ หรือเพียงแค่เฝ้ามองจากเมืองอย่าง Ålesund หรือ Tromsø โอกาสในการมองเห็นยิ่งเพิ่มขึ้นอีกหากเป็นเดือนที่แสงรบกวนน้อยตั้งแต่ ธันวาคมถึงมกราคม

นอร์เวย์เต็มไปด้วยชายฝั่งมากมายทอดตัวยาวกว่า 15,626 ไมล์ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเต็มไปด้วยประภาคารจำนวนมากเรียงราย หนึ่งในนั้นคือประภาคารจากศตวรรษที่ 19 “Kjeungskjær” ซึ่งตั้งโดดเด่นด้วยสีแดงเข้มและทรงแปดเหลี่ยมของอาคาร นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมประภาคารนี้ได้ หรือแม้กระทั่งเข้าพักค้างคืนอีกด้วย (รองรับผู้มาพักจำนวน 20 คน)

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเดินทางมาถึงเกาะ Lofoten ได้ เริ่มด้วยการบินจากออสโลว์มายัง Bodø ตามด้วยการนั่งเรือเฟอรี่ 3 ถึง 4 ชั่วโมง แต่เมื่อมาถึงเราจะไม่เสียใจในความพยายามเลย หมู่เกาะแถบนี้ตั้งอยู่กลางผืนน้ำสีฟ้า และยอดเขาแหลมชูสู่ฟ้า พิพิธภัณฑ์และหมู่บ้านชาวประมง และด้วยวิวทิวทัศน์เฉพาะตัวทำให้ที่นี่กลายเป็นตัวเลือกที่ตัดสินใจยากสำหรับนักท่องเที่ยวเลย ระหว่าง Lofoten และ Iceland 

Skudeneshavn ตั้งอยู่ที่ปลายสุดทางตอนใต้ของเกาะ Karmøy (ประมาณ 20 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Stavanger) Skudeneshavn เป็นเมืองที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในจำนวนเมืองที่คุณเคยเห็น ลองนึกถึงถนนแคบมีแนวรั้วไม้สีขาวและบ้านไม้ที่มีอายุย้อนหลังไปถึงปี 1800

บทความที่เกี่ยวข้อง : เกาะ "Lofoten" ดินแดนแห่งพระอาทิตย์เที่ยงคืนและแสงเหนือ

-----------------------------------------------------------------------------------