ชวนเที่ยว "หมู่เกาะแฟโรว์" (Faroe Islands) ชื่อที่ชาวเราไม่ค่อยคุ้นเคย



FØROYAR เป็นชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นสำหรับ "หมู่เกาะแฟโรว์" (Faroe Islands) ซึ่งเป็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่เกือบจะกึ่งกลางพอดีระหว่านอร์เวย์และไอซ์แลนด์ ทว่าถือเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเดนมาร์ก ในเดินแดนห่างไกลนี้ เราจะสามารถพบทั้งส่วนที่เขียวชอุ่ม ภูมิอากาศโหดร้าย ถนนเปิด และถนนที่เลี้ยวลดคดโค้งจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถโค้งได้ซะขนาดนี้

Drangarnír เป็นจุดแรกที่เราจะนำเสนอ และเดินทางมาชมได้ไม่ง่าย เริ่มจากขับรถมายังหมู่บ้านของแฟโรว์ที่ห่างไกล จอดรถและข้ามรั้วมา จากนั้นเดินต่ออีกราว 2 ชั่วโมงผ่านเนินเขาซึ่งระหว่างนั้นแทบจะไม่เจอมนุษย์คนอื่นๆเลย เมื่อมาถึงบริเวณนี้ก็ยังปกคลุมด้วยหมอกหนา ทว่าอดใจรอเพียงครู่เดียว เพราะสภาพอากาศของแฟโรว์ก็คล้ายกับไอซแลนด์ คือ เปลี่ยนแปลงได้ไวมาก เมื่อหมอกเริ่มจางเราจะมองเห็นเกาะ Tindhólmur เป็นฉากหลังของชะง่อนหิน Drangarnír ที่ตระหง่านอยู่ และกลับกลายเป็นว่า ด้วยสภาพอากาศหลังหมอกจางหายไปนั้นกลับขับเน้นให้สถานที่นี้สวยงามจนทำให้เราพลอยคิดว่า นี่น่าจะเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการมาชมสถานที่แห่งนี้แล้ว

จากจุดเดียวกัน หากมีโอกาสได้เก็บภาพมุมสูง (ในที่นี้ใช้โดรน) ของฉากทางด้านหลังเกาะย้อนมา ในขณะที่หมอกหายไปแล้ว จะพบว่าเกาะนี้แช่อยู่กลางมหาสมุทรราวกับไดโนเสาร์หรือสัตว์ยักกำลังว่ายน้ำเคลื่อนตัว เป็นภาพที่ธรรมชาติสร้างสรรค์และแสดงความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

Gásadalur อาจเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงจากการมีน้ำตกที่ตกลงสู่มหาสมุทรโดยตรง แต่นอกจากนั้นด้านหลังหมู่บ้านยังมีจุดชมวิวที่สวยงาม มีสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถสัมผัสได้จากภาพถ่าย นั่นคือสายลมรุนแรงที่พัดเข้ามาปะทะร่างเราจากจุดนี้ มากเสียจนการถ่ายภาพวิวตรงนี้กลายเป็ฯเรื่องท้าทายไปเลย แต่ภาพที่ได้มาก็คุ้มค่า ด้วยส่วนผสมของสีเขียวจากผืนหญ้าและสีฟ้าจากผืนน้ำ แต่ต้องระวังว่าการหาจุดเก็บภาพเหมาะๆหรือการปีนป่ายตามขอบผาอาจเป็นอันตรายได้

Viðareiði เป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดของเกาะแฟโรว์ มีถนนเพียงเส้นเดียวที่มุ่งหน้ามาสู่ที่นี่และระหว่างทางยังมีอุโมงเลนเดียวที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับรถอีกด้วย Viðareiði  ล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสองด้านราวกับถูกโอบกอดด้วยอ้อมกอดของขุนเขา ซึ่งก็กลับทำให้ที่นี่มีทิวทัศน์ที่น่าตื่นตา หน้าผาด้านซ้าย หน้าผาด้านขวา และเส้นขอบฟ้าคมกริบขณะที่แสงอาทิตย์สาดทะลุหมู่เมฆเหนือเกาะลงมา สวยจนยากที่จะละสายตา

ภาพนี้ถ่ายจากบนเครื่องบินเล็กที่ใช้เช่าทัวร์รอบเกาะ ซึ่งเราจะพบถนนเป็นเส้นทางตัดลัดเลาะผ่านภูมิประเทศ ซึ่งมีข้อสังเกต 2 อย่าง คือ ความน่าหวาดเสียวของถนนโดยเฉพาะในขณะที่ทอดตัวผ่านขอบผา และจำนวนรถบนถนนที่มีน้อยมากๆ และเมื่อมีฝนตก (ซึ่งก็ตกเป็นประจำ) จะมีน้ำตกไหลลงมาตามภูเขาที่มีอยู่ตลอดทางแทบจะทุกๆ 50 เมตร

ด้วยความที่มีรถน้อยมาก ทำให้การขับรถ Road Trip เป็นไปอย่างสบายๆมาก เราจะพบว่าบนถนนมักจะมีรถเพียงคันเดียวซึ่งก็คือรถเรานั่นเอง สิ่งที่ต้องระวังจริงๆไม่ใช่รถ แต่เป็นเหล่าแกะน้อย เกาะแฟโรว์นี้มีแกะมากกว่าผู้อยู่อาศัยซะอีก ถ้ามีรถติดบนเกาะนี้ล่ะก็ ชัดเจนว่าไม่ใช่เพราะรถคันอื่น แต่เพราะเหล่าแกะที่อาจพากันเดินข้ามถนน

Føroyar นี้ถือเป็นสวรรค์ของเหล่านกได้เลย เพราะมีทั้งลมแรงช่วยพาร่อนบิน และปลาจำนวนมาก เหล่านกพวกนี้มีประโยชน์สำหรับการถ่ายภาพหน้าผาอลังการของที่นี่ ด้วยเหตุว่าเมื่อไม่มีคนในภาพทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดความสูงใหญ่ของหน้าผาที่ส่วนใหญ่มีความสูงหลายร้อยเมตรออกมาได้ชัดเจน Sørvágsvatn เป็นหน้าผาวิวสวยงามแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเกาะ Vágar และเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ถือได้ว่าเดินทางมาได้สะดวกกว่าที่อื่นๆ บนหมู่เกาะแฟโรว์นี้ เพราะมีเส้นทางชัดเจนจากจุดจอดรถมายังริมมหาสมุทรซึ่งใช้เวลาเดินเพียง 1 ชั่วโมง

นี่คือวิวทิวทัศน์ที่ปรากฏเบื้องหลังของชะง่อนผาในภาพที่แล้ว แม้ว่าจุดถ่ายภาพจะปลอดภัยจากคลื่นที่รุนแรงเบื้องล่าง ทว่าเสียงคลื่นกระทบเกาะดังสนั่นก็ยังทำให้เรารู้สึกว่าธรรมชาติของที่นี่จะไม่ปรานีเราแน่ๆ ทะเลที่นี่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังรุนแรงซึ่งแตกต่างจากที่บ้านเรา

ด้วยคลื่นรุนแรงอย่างที่กล่าวไป ลองคิดดูว่าลมที่นี่จะพัดผ่านขนาดไหน รูปนี้ถูกถ่ายในขณะที่ช่างภาพจะต้องใช้อีกมือนึงยึดเกาะกับเสาเพื่อไม่ให้โดนลมพัดล้มลงไป การเดินอย่างปกติแทบจะทำไม่ได้ และนกนางนวลที่เห็นในภาพไม่สามารถบินต้านแรงลมขนาดนี้ได้เลย พวกมันดูเหมือนร่อนไปตามสายลมและกลมกลืนไปเท่าที่จะทำได้ เพียงแค่ประคองตัวให้ลอยในอากาศโดยไม่สามารถรุดหน้าได้มากนัก โดยเมืองในรูป คือ Gjógv  และอ่าวของเมือง

หมู่เกาะแฟโรว์แห่งนี้มีธรรมชาติที่มีพลังและสวยงาม เน้นย้ำความพิเศษของสถานที่แห่งนี้และเชิญชวนให้เราได้ลองมาเยือนสักครั้ง...


ความคิดเห็น