10 อันดับประเทศที่น่าไปใช้ชีวิตอยู่



หากคุณกำลังมีความคิดว่า นี่น่าจะถึงเวลาสำหรับการไปอยู่ในสถานที่ใหม่ๆแล้ว แต่ที่ไหนดีล่ะ มีอะไรให้เลือกตั้งมากมายเพื่อประกอบการตัดสินใจ ที่ที่ผู้คนอายุยืนและมีสุขภาพดี เมืองที่เหมาะสำหรับคนต่างชาติไปอาศัยอยู่ และเมืองที่ราวกับเป็นสวรรค์สำหรับคนที่หลงไหลในสถาปัตยกรรม เมืองที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้มาจากดัชนีชี้วัดของสหประชาชาติเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ในปี 2016 และอยู่ในประเทศที่มีคะแนนสูงลิ่วในหลายๆมุม ทั้งสวัสดิการประกันสุขภาพ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โอกาสความเท่าเทียมทางการศึกษา ความเท่าเทียมทางเพศ รายได้เฉลี่ย และอื่นๆ เริ่มจากอันดับที่ 10 ก่อนเลย...

10. (เสมอกัน) สหรัฐอเมริกา

อเมริกาเข้ามาอยู่ในอันดับที่ 10 ด้วยเหตุผลด้านการศึกษา จำนวนของผู้ได้รับการศึกษาที่อยู่ในเกณฑ์สูงมาก คือ 95.3% ของประชากรทั้งหมดได้รับการศึกษาอย่างน้อยถึงระดับมัธยม ความเท่าเทียมทางเพศ และรายได้เฉลี่ยต่อหัว แต่ที่ได้เพียงอันดับ 10 เพราะความเหลื่อมล้ำด้านรายได้มาฉุดอันดับลง แม้ว่าจะมีระบบการเมืองและประชาธิปไตยที่เข้มแข็งก็ตาม

10. (เสมอกัน) แคนนาดา

ข้ามชายแดนมาอีกนิด แคนนาดาเสมอกันกับเพื่อนบ้านทางใต้คืออเมริกาจากรายงานในปี 2016 แต่ได้อันดับนี้มาด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป แม้จะมีระดับรายได้ต่อหัวที่ต่ำกว่าอเมริกา แต่ด้วยประสิทธิภาพการศึกษาและสิทธิสวัสดิการประกันสุขภาพ ทำให้แคนนาดาได้อันดับ 10 นี้มาได้ และเมื่อเทียบกันแล้ว อเมริกามีอันดับที่ตกลงในขณะที่แคนนาดากลับมีอันดับที่สูงขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นหากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ ก็เชื่อได้ว่าอเมริกาจะหลุด Top 10 เข้าสักที

9. ไอซแลนด์

ไอซแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลม คลื่น และพลังงานความร้อนใต้ภิภพที่รวมกันเกือบจะ 100% ของความต้องการพลังงานทั้งหมด (สหประชาชาติถึงกับเรียกว่า ‘Model of the world’) ยิ่งไปกว่านั้นประเทศนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องความเท่าเทียมทางเพศอีกด้วย เพราะเป็นประเทศแรกที่มีผู้นำหญิงผ่านการเลือกตั้ง และในวันสตรีสากลแห่งชาติ รัฐบาลไอซแลนด์ได้ประกาศให้เจ้าของกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 25 คนขึ้นไปต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่ลูกจ้างอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างของลูกจ้าง ทั้งด้านเชื้อชาติ เพศ และความเชื่อทางศาสนา และยังเป็นประเทศที่มีความสงบสุขในอันดับต้นๆของโลก ด้วยจำนวนประชากรที่น้อยเมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่

8. ไอร์แลนด์

เมื่อไม่นานมานี้ ไอร์แลนด์เคยประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาคน จากวิกฤตเศรษฐกิจที่กระหน่ำไอร์แลนด์อย่างหนักในปี 2008 ที่ผ่านมา ด้วยอัตราการว่างงานที่เกือบจะสูงถึง 15% ทว่าด้วยความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป ไอร์แลนด์ก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าสามารถพลิกฟื้นขึ้นมาจากสภาวะวิกฤติ กลับขึ้นมาอยู่ในลำดับต้นๆของโลก ทั้งในแง่การศึกษา สวัสดิการสุขภาพ และรายได้

7. เนเธอร์แลนด์

ประเทศแห่งกังหันลม รัฐบาลหัวก้าวหน้าของเนเธอร์แลนด์ลงแรงไปมากเพื่อให้ประเทศก้าวขึ้นมาอยู่ในลำดับบนๆของการจัดอันดับ HDI Ranking (เนเธอร์แลนด์ติดอันดับ Top 10 ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1990) ด้วยความโดดเด่นในด้านพลังงานจากลม กังหันที่เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้ใครๆนึกถึงและเป็นพลังงานสะอาด ระดับความสงบสุขและอัตราการเกิดอาชญากรรมที่ต่ำมาก

6. (เสมอกัน) สิงคโปร์

ไม่ใช่ถูกๆเลยสำหรับค่าครองชีพในแต่ละวันที่สิงคโปร์ทว่าจากดัชนีชี้วัดการพัฒนามนุษย์บ่งชี้ว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่น่าอยู่อีกประเทศหนึ่ง (หากจ่ายไหว) แม้จะบ่งชี้ว่ามีความแตกต่างและความไม่เสมอภาคระหว่างชายหญิงอยู่บ้าง แต่สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีระดับรายได้ต่อหัวอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก กฏหมายที่เข้มงวด และประชากรที่มีคุณภาพ

5. (เสมอกัน) เดนมาร์ก

ในฐานะประเทศผู้ร่วมก่อตั้ง NATO เดนมาร์กเป็นประเทศอันดับต้นๆที่มีระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำมาก ชาวสแกนดิเนเวียมีสวัสดิการสุขภาพที่เยี่ยมยอด (แทบทั้งหมดฟรี) และการศึกษาที่สูง (เป็นสวัสดิการฟรีเช่นกัน) เมื่อสำรวจในแง่ความพึงพอใจในชีวิต ชาวเดนมาร์กเป็นรองเพียงแค่นอร์เวย์และสวิสเซอแลนด์เท่านั้น หมู่บ้านที่สวยงาม ชายฝั่งที่อุดมสมบูรณ์ และอาหารชั้นยอด

4. เยอรมันนี

นอกเหนือจากประชาชนชาวเยอรมันจะมีพาสปอร์ตที่สามารถไปได้เกือบทุกประเทศบนโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว เยอรมันยังขึ้นมาติดอันดับ Top 5 ได้จากการเป็นผู้นำด้านพลังงาน เทคโนโลยี และการศึกษา 96.7% ของประชากรได้รับการศึกษาอย่างน้อยถึงมัธยม เป็นผลให้ประเทศเต็มไปด้วยแรงงานที่มีฝีมือเยี่ยม และยังเป็นชาติที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่และมั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งเมื่อเทียบกับในสหภาพยุโรปอีกด้วย

3. สวิสเซอแลนด์

หากทำความเข้าใจถึงปัจจัยการประสบความสำเร็จของสวิสเซอแลนด์ จะช่วยให้เข้าใจในภาพรวมของการจัดอันดับนี้มากยิ่งขึ้น ประเทศเล็กๆจากยุโรปนี้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในการจัดอันดับดัชนีชี้วัดด้านนวัตกรรมในปี 2017 ซึ่งวัดจากประสิทธิภาพทางด้านนวัตกรรมผ่านแง่มุมเศรษฐกิจ ระบบการเมือง และการศึกษา ผลลัพธ์คือประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในด้านการเป็นผู้นำการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน (และมักถูกอ้างอิงถึงในแทบทุกด้าน ตั้งแต่กฏหมายระหว่างประเทศไปจนกระทั่งถึงการสร้างวงเวียนอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในเมืองเล็กๆ) สาธารณูปโภคพื้นฐาน ขนส่งมวลชน และอื่นๆอีกมาก และยังรั้งตำแหน่งในอันดับ 1 อยู่ถึง 7 ปีติดต่อกันอีกด้วย

2. ออสเตรเลีย

ในออสเตรเลีย ทุกๆสิ่งจะค่อยๆถูกพัฒนาให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ปี 1990 ในแทบทุกด้านได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านรายได้ต่อหัวประชากร ซึ่งก้าวกระโดดสูงขึ้นถึง 53.8% นอกจากนั้นเด็กๆชาวออสเตรเลียยังจะได้รับการศึกษาในโรงเรียนจนถึงช่วงอายุ 20 ปี ซึ่งสูงที่สุดในโลกด้วย

1. นอร์เวย์

ประเทศที่ตั้งอยู่ริมด้านตะวันตกที่สุดของแถบสแกนดิเนเวียและมีแหลมยื่นออกไปในทะเล นอร์เวย์เป็นประเทศผู้นำของโลกในหลายๆด้าน ทั้งอัตราการเกิดฆาตกรรมและอัตราการฆ่าตัวตายที่ต่ำมาก มีความเท่าเทียมระหว่างชายและหญิงเป็นอันดับต้นๆ และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 58% ของพลังงานที่ใช้มาจากพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นพลังงานสะอาด แม้ว่าในปี 1960 มีบ่อน้ำมันและแก๊สถูกค้นพบที่บริเวณนอกชายฝั่งก็ตาม นอกจากนี้โอกาสทางการศึกษาจนถึงระดับสูงสุดซึ่งแทบจะทั้งหมดฟรีเพราะเป็นสวัสดิการ และกว่า 95.3% ของประชากรได้รับการศึกษาถึงระดับชั้นมัธยมเป็นอย่างน้อย อีกปัจจัยหนึ่งคือประเทศนอร์เวย์มีความปลอดภัยในชีวิตสูงมากด้วย

ความคิดเห็น