12 สุดยอดเส้นทางที่สวยที่สุดสำหรับ Road Trip ครั้งหน้า

13 เส้นทางต่อไปนี้เป็นสุดยอดเส้นทางสำหรับ Road trip ที่เราขอแนะนำหากคุณกำลังมองหาแพลนสำหรับ Road Trip ครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป้นเส้นทางที่แวะผ่านปราสาทที่ราวกับออกมาจากเทพนิยาย (เส้น Slovenia หรือไม่ก็ Germany) หรือแล่นผ่านใจกลางของโลกใหม่ (Route 66) ที่อเมริกาก็ตาม

1. สโลวีเนีย (Slovenia)

แม้จะเป็นประเทศไม่ใหญ่มาก แต่ Slovenia ก็ประกอบด้วยอาคารสถาปัตยกรรมที่หลงเหลือจากช่วงยุคกลาง ร้านคาเฟ่มีสไตล์กลางแจ้ง และวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เสน่ห์ของเส้นทางนี้เริ่มต้นจากเมืองหลวง Ljubljana ที่ซึ่งบาร์ริมฝั่งแม่น้ำทำให้ท้องถนนที่ปูด้วยหินและศิลปะแบบบาโร้คกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง จากนั้นมุ่งสู่ทะเลสาบที่ใสเรียบราวกับกระจก ผ่านสวนองุ่น ชิมแฮม ชีส และแวะชมปราสาทสักหลัง (ซึ่งมีให้เลือกหลายหลัง) ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เต็มไปด้วยหมู่บ้านจากศตวรรษที่ 15 ทางตะวันตกเฉียงใต้จากเมือง Ljubljana จะพบกับถ้ำ Skocjan ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก และเหนือขึ้นไปอีกนิดจะได้พบ ปราสาท Predjama จากยุคเรเนสซองค์ตั้งตระหง่านอยู่เหนือภูเขา


2. คาบสมุทรยูคาทาน (Yucatán Peninsula, Mexico)

ด้วยถนนหนทางที่ดีขึ้น รถเช่าที่หาได้หลากหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง GPS ที่สามารถเปลี่ยนนักท่องเที่ยวแบคแพ็คธรรมดาๆให้กลายเป็นนักท่องเที่ยวที่สามารถนั่งอยู่หลังพวงมาลัยได้ ทำให้โลกแห่งการท่องเที่ยวแคบลงอีกมากโข เริ่มต้นจาก Cancún ไปยัง Playa del Carmen เมืองเล็กๆน่ารัก จากนั้นลงใต้ต่อไปยังเมือง Tulum แวะดูซากโบราณของชาวมายัน ถ้ำใต้น้ำ Cenote และถนนของแถบนี้ที่เป็นเครือข่ายเชื่อมต่อที่สะดวกสบายทำให้ง่ายต่อการเดินทางต่อไปยังอาณานิคม Valladolid ซึ่งเต็มไปด้วยฝูงชนจากต่างชาติ (และเป็นที่ตั้งของโรงแรม Coqui Coqui อันสวยงามของย่านเมืองเก่าอีกด้วย)


3. ทางหลวงหมายเลข 101 (Highway 101, Oregon)

เลยตามแนวชายฝั่งจากรัฐวอชิงตันลงมาถึงแคลิฟอร์เนีย ทางหลวงหมายเลข 101 ของชายฝั่งตะวันตกสหรัฐฯนี้ นำพาคุณจาก Cannon Beach ผ่านธรรมชาติอันโดดเด่นของรัฐทั้งหลาย (Devils Punchbowl และ Cape Perpetua เป็นต้น) ด้วยวิวทิวทัศน์อันสวยงามตลอดเส้นทางที่ เรากล้าพูดว่า ไม่น้อยหน้าไปกว่าทางหลวงหมายเลข 1 ของแคลิฟอร์เนียเลย จุดสำคัญแห่งหนึ่งของชายฝั่งโอเรกอนนี้ คือ Haystack Rock หรือที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อเล่นว่า Goonies Rock ซึ่งเป็นภูเขาหินสูงกว่า 235 ฟุต (72 เมตร) ขึ้นมาเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งมองเห็นจากชายหาด Cannon Beach


4. ทะเลทรายนามีเบีย (Namibia's Desert)

เริ่มต้นวันด้วยอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์จากโรงแรม Sossusvlei Lodge จากจุดตั้งแคมป์ Sesriem ซึ่งเป็นประตูสู่ Sossusvlei มุ่งหน้าสู่ทะเลทราย Dune45 ซึ่งเป็นทะเลทรายที่มีภาพถ่ายเยอะที่สุดในโลก เนื่องจากตั้งอยู่เกือบจะติดถนนเลย เนินทรายตั้งตระหง่านภายใต้แสงแดดระอุสูงกว่า 550 ฟุต (168 เมตร) ถัดไปเป้าหมาย คือ Deadvlei หรือบึงแห่งความตาย มีต้น Acacia ที่ตายแล้ว อายุกว่า 900 ปี ตั้งตระหง่านอยู่ ไม่เสื่อมสลาย เนื่องจากอากาศที่แห้งมาก


5. ทางหลวงฮานา (Hana Highway, Hawaii)

"ไม่ใช่ว่าถนนทุกที่จะเหมือนกันหมด" คำกล่าวนี้คงเหมาะสมสำหรับทางหลวงที่รู้จักกันในชื่อ Hana Highway หรือ ถนนสู่ฮานา ที่ทอดตัวคดเคี้ยวทางชายฝั่งด้านตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่เกาะ Maui ที่เต็มไปด้วยทางโค้งกว่า 600 โค้งและสะพานเลนเดียวที่ต้องผลัดกันข้ามกว่า 50 แห่ง (ถึงกับแนะนำให้เช่ารถ Jeep Wrangler สำหรับทริปนี้เลย) รางวัลสำหรับการขับรถผ่านเส้นทางที่ต้องใช้ความอดทนนี้ คือ วิวสวยงามของหน้าผาชายฝ่งสูงชัน น้ำตกที่ไหลอย่างเชี่ยวกราก ป่าดิบ และสุดท้ายคือวิวแบบพาโนรามาของมหาสมุทรแปซิฟิก

6. เทือกเขาบลูริดจ์ (Blue Ridge Parkway, North Carolina & Virginia)

เทือกเขาบลูริดจ์เป็นเส้นทาง Road Trip ยาวกว่า 469 ไมล์ (755 ก.ม.) ผ่านเขตปกรองกว่า 29 เขตจากรัฐเวอร์จิเนียจรดนอร์ทแคโรไลน่า ถนนสวยงามเส้นนี้ถูกโอบล้อมด้วยสีเขียวอ่อนของต้นไม้ในหุบเขาจากเทือกเขาบลูริดจ์เอง และมักจะถูกปกคลุมด้วยหมอกหนารอบบริเวณในช่วงเช้าตรู่หรือช่วงพระอาทิตย์ตก ใครที่คิดจะมา Road Trip จึงควรขับรถอย่างระมัดระวัง แล้วหยุดพักที่ Benton’s Smoky Mountain Country Hams เพื่อลิ้มลองแฮมที่เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ และเผื่อเวลาในแผนสำหรับแวะพักค้างคืนที่โรงแรม Indigo ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ในเมืองแอชวิลล์ (Asheville) ของรัฐนอร์ทแคโรไลน่าสักคืน


7. Route 66, United States

ไม่มีถนนทางหลวงเส้นไหนที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลงร็อคคลาสสิคหลายๆเพลง เรื่องราว และบทกวี ได้เท่ากับ Route 66 ซึ่งเป็นหนึ่งในถนนทางหลวงเก่าแก่ของอเมริกา ถนนเส้นนี้ยาวกว่า 2200 ไมล์ (3540 ก.ม.) จากชิคาโกถึงแคลิฟอเนียร์ ด้วยความโล่งกว้างของวิวทิวทัศน์ การขับรถบนถนนเส้นนี้อาจให้ความรู้สึกโหยหา (หรือออกแนวเหงา) ตลอดการเดินทาง ซึ่งสามารถเยียวยาได้ด้วยการหยุดแวะหาซี่โครงย่างซอสบาบีคิวตามสไตล์ St. Louis กินสักมื้อ


8. นอร์เวย์ (Norway)

ในปี 1997 รัฐบาลนอร์เวย์ดำเนินการก่อสร้างบูรณะถนนที่หมดอายุแล้วจำนวน 18 เส้นเพื่อเป็นเส้นทางในการทัศนาจรสำหรับทั้งทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ รวมถึงเชิญสถาปนิกชั้นนำเพื่อร่วมออกแบบโรงแรมตลอดเส้นทาง เราสามารถตั้งต้นเส้นทางจาก Geiranger ไปจนถึง Trollstigen เพื่อชมธรรมชาติอันสวยงามของ Geirangerfjord และอาจพักที่ห้องกระจกทรงลูกบากศ์ของโรงแรม Juvet Landscape Hotel ระหว่างทาง  
 

9. ไอร์แลนด์ (Ireland)

ตั้งแต่ทางหลวงเลียบชายฝั่ง Wild Atlantic Way เปิดให้ใช้ในปี 2013 บรรดาผู้ชื่นชอบ Road Trip ต่างพากันสำรวจเส้นทางซึ่งครั้งนึงเคยเป็นที่ตั้งของ หน้าผาอันห่างไกล ปราสาท และกระท่อมเล็กๆกระจายอยู่ ขอแนะนำเส้นทางขับรถ 5 วันจาก Dingle (อย่าลืมแวะพักที่ Global Village ซึ่งมีซีฟู้ดที่ขึ้นชื่ออย่างมาก) ถึง Mizen Head และแวะพักค้างคืนในที่พักอุ่นสบายที่โรงแรม Dromcloc House ใกล้กับชายหาด

10. Iceland

การขับรถเที่ยวรอบไอซ์แลนด์เปรียบเสมือนได้เห็นฉากต่างๆจากในหนังมาปรากฎบนโลกแห่งความจริง ทั้งน้ำตก ธารน้ำแข็ง ฝูงแกะ และภูเขาสูงทะมึนต่างมาปรากฎเบื้องหน้าในชั่วพริบตา ถนนวงแหวนรอบเกาะหรือที่เรียกว่า Ring Road ที่เป็นทางหลวงหมายเลข 1 สามารถขับวนได้รอบทั่วเกาะซึ่งจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำสัก 1 สัปดาห์เพื่อวนครบรอบ ระหว่างทางลองแวะสำรวจอุทยานแห่งชาติ Thingvellir ชม ทะเลสาบน้ำแข็ง Jökulsárlón และฟยอร์ด ล่องเรือดูปลาวาฬตอนกลางวันและรอชมแสงเหนือยามค่ำคืน เตรียมขนมขบเคี้ยวและกล้องไว้ให้พร้อมแล้วแหงนมองท้องฟ้าอย่างใจจดใจจ่อ


11. เส้นทางสายโรแมนติค (Romantic Road, Germany)

ตามเส้นทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยว มุ่งหน้าลงใต้จากมิวนิคสู่ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein) ของพระเจ้าลุดวิจที่ 2 แห่งบาวาเรีย ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจสู่ปราสาทในการ์ตูนของดิสนีย์เรื่อง Sleeping Beauty ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายโรแมนติคของเยอรมัน ถัดมา เดินชมเมืองจากยุคกลางอย่าง Rothenburg ob der Tauber ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมสวยงาม (คล้ายคลึงกับบรรยากาศจากซีรี่ย์ดังอย่าง Game Of Thrones) ผ่านหมู่บ้านแบบบาวาเรีย และจบลงที่เมือง Würzburg เลยถัดจาก Frankfurt ไปไม่ไกลนัก ที่ซึ่งมีไวน์เลิศรสและน่าประทับใจพอๆกับชาวเมือง รวมถึงปราสาทแบบสไตล์บาโร้คจากศตวรรษที่ 18 ด้วย


12. แคว้นทัสคานี (Tuscany, Italy)

วิวทิวทัศน์ของไร่องุ่นถือเป็นไฮไลต์หลักของแคว้นนี้ เริ่มจากเมืองฟลอเรนซ์และล่องเรือลงใต้ประมาณ 30 นาทีจนถึงย่านไวน์ขึ้นชื่อที่เรียกว่า Chianti ท่องผ่าน Strada จนถึง Greve แล้วจบที่ Siena ซึ่งมีร้านอาหารแนะนำหลายแห่งตลอดเส้นทาง หากมีเวลาเหลือลองแวะค้างคืนที่ Panzano ก่อนจะวนรถกลับฟลอเรนซ์ในวันถัดไป หรือจะลงใต้ต่อไปยัง Montalcino ถึง Montepulciano และ Val d’Orcia ซึ่งทั้ง 3 ต่างก็ถือเป็นแถบชนบทที่สวยงามของทัสคานีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย

-----------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็น