รวมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ควรรู้ก่อนไปเยือน “ปารีส”


หมายเหตุ : หากทำได้ตามนี้หมด ระวังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นชาวปารีเซียง! (Parisien)

เมืองหลวงของฝรั่งเศสแห่งนี้มีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวเสมอมา จำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 16 ล้านคนที่มาเยือนในปี 2017 ต่างลงความเห็นไปในทางเดียวกัน ด้วยว่ามีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลาย ทั้งพิพิธภัณฑ์ลูฟ หอไอเฟล วิหารน็อทร์-ดาม มหาวิหารซาเคร-เกอร์ (Sacré-Cœur) พิพิธภัณฑ์รอแด็ง (Musée Rodin) ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมปงปิดู (Centre Pompidou) ย่านแซ็ง-แฌร์แม็ง (Saint-Germain) แวะทานอาหารเย็นแบบฝรั่งเศสที่ร้าน Chez Paul ก่อนไปเดินสบายๆที่สวน คูเล่ เวทเต้ ฮอนเน่ ดูมองท์ (Coulée verte René-Dumont) หรือจะไปถ่ายรูปเก๋ๆของ street art บนเนินใกล้ Butte-aux-Cailles ลงอินสตราแกรมก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง
สำหรับเกร็ดเล็กๆน้อยๆอื่นๆในการเที่ยวชมเมือง เป็นต้นว่า การทำ ลาบิซ (la bise) ทักทายแบบฝรั่งเศส หรือการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน หรือข้อควรรู้อื่นๆนั้น มีดังต่อไปนี้

การทักทาย
เริ่มจากการกล่าวทักทายภาษาฝรั่งเศสว่า “บงชูร์” (bonjour) สามารถกล่าวได้หลายโอกาส ไม่เพียงแต่เฉพาะเวลาทักทายหรือแนะนำตัวเท่านั้น ทว่าสามารถเอ่ยคำนี้ได้เวลาเดินเข้าร้านค้า เวลาที่บริกรเดินเข้ามาที่โต๊ะ หรือแม้แต่เวลาก้าวเข้าไปในลิฟต์ (ที่มีคน) อาจจะฟังดูเยอะไปหน่อย แต่นี่เป็นวิธีที่เข้าท่าในการเชื่อมสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น ซึ่งอาจนำมาสู่การบริการหรือใส่ใจในอีกขั้น
ในตอนเย็น เปลี่ยนเป็นกล่าวว่า “บงซัวร์” แทน ในทางเทคนิคนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมจะกล่าวคำนี้จะซับซ้อนเล็กน้อย กล่าวคือ ปกติคำนี้จะพูดตอนเย็นจนถึงพระอาทิตย์ตก แต่ในฤดูร้อนที่พระอาทิตย์ตกช้า หลายคนมักกล่าวคำนี้ในตอนก่อนที่จะเลิกงานกลับบ้านไปเลย หรือหากเอาให้แน่ใจ ก็กล่าวคำนี้หลังช่วงเวลา 1 ทุ่มไปแล้ว

ลาบิซ
ลาบิซ คือ การทักทายแบบฝรั่งเศสโดยการเอาแก้มชนกัน ซ้ายทีขวาที ซึ่งจะทำกี่ครั้งก็แล้วแต่ธรรมเนียมของแต่ละเขตในฝรั่งเศส มีข้อควรทราบดังนี้
  1. ทำลาบิซกันระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง หรือระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง
  2. ไม่ทำลาบิซกันถ้าอีกฝ่าย(และคุณ) เป็นผู้ชาย ให้ใช้การจับมือเชคแฮนด์แทน ปกติผู้ชายไม่ทำลาบิซกัน
  3. ให้ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้เริ่มก่อน(จะดีกว่า) เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด เช่น หัวโขกกัน และทำจำนวนครั้งตามที่ได้รับจากอีกฝ่าย โดยปกติแล้วในปารีสจะทำที่แก้มซ้าย 1 ทีและแก้มขวา 1 ที แต่ในกลุ่มเพื่อนสนิทบางทีก็มีธรรมเนียมในกลุ่มของตัวเอง หรือในบางพื้นที่ของฝรั่งเศสก็มีจำนวนครั้งที่แตกต่างไป
  4. ใช้การจับมือทักทาย หากเป็นการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ยกเว้นอีกฝ่ายเป็นฝ่ายให้ลาบิซแก่คุณก่อน
การแต่งตัว
หากอยากกลมกลืน จงหลีกเลี่ยง กางเกงแบบ sweatpants หมวกแก๊ป รองเท้าแตะ และรองเท้าผ้าใบสีขาว ชาวปารีสนั้นแต่งกายค่อนข้างมีสไตล์ ทว่าไม่จำเป็นต้องถึงขนาดรุ่ยร่ายฟุ่มเฟือย ทว่าแบบมีสไตล์ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว เช่น ผู้หญิงปารีสอาจแต่งกายด้วย กางเกงยีนทรงสกินนี่ กับเสื้อตามแฟชั่นและรองเท้าคอนเวิร์สหรือรองเท้าทรงบัลเลต์สันเตี้ย (ballerina flats) และชาวปารีสมักชอบใส่ เสื้อโค้ทยาวคลุมถึงเข่าหรือประมาณ trench coat กับเสื้อคลุมเบลเซอร์ (blazer) รวมถึงผ้าพันคอยาวๆ ส่วนกระเป๋าแบ็คแพคสะพายหลังมีสีสันใบโตบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคุณเป็นคนต่างถิ่น กลับกันกระเป๋า Longchamp นั้นจะทำให้คุณดูกลมกลืนมากๆ 

การเดินทาง
ปารีสเป็นอีกหนึ่งเมืองที่เหมาะแก่การเดินชม หรืออาจนั่งรถไฟใต้ดินซึ่งเป็นที่นิยมของคนที่นี่และยังเป็นวิธีเดินทางที่รวดเร็วที่สุดอีกด้วย มีเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติอยู่ทุกสถานี อาจซื้อแบบเที่ยวเดียวหรือเป็นเล่มๆละ 10 ใบหากมีแผนว่าจะเดินทางหลายเที่ยว รถไฟใต้ดินมีหลายสาย ซึ่งจะมีสีและหมายเลขทำให้ง่ายต่อการศึกษาเส้นทาง สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้จากเว็บไซต์ RATP หรือดาวน์โหลดแผนที่ของรถไฟใต้ดินปารีสมาเก็บไว้ในโทรศัพท์ก็ดี
ปารีสมีจุดเรียกแท็กซี่กระจายอยู่ทั่วเมือง แต่แนะนำให้ทำการจองรถแท็กซี่ล่วงหน้าผ่านทาง G7 หรือ Taxis Bleus จะดีกว่า ส่วนอูเบอร์มีให้บริการที่นี่ รวมถึง Woman Drive ซึ่งเป็นบริการแบบอูเบอร์ที่ให้บริการสำหรับผู้หญิงเท่านั้น 

เดินเที่ยวและพูดคุย
ชาวปารีสเดินชิดขวา และยืนชิดขวาเช่นกันสำหรับบนบันไดเลื่อน ทว่าบนถนนที่คึกคักมากๆ จะเป็นการเดินแบบตามใจฉัน หากคุณต้องการหยุดเพื่อดูแผนที่ ควรหลบออกนอกทางแทนที่จะยืนขวางคนอื่นอยู่ตรงกลาง นี่จะช่วยให้คุณไม่ถูกจ้องมอง หรือเดินชนจากคนเดินเท้าคนอื่นๆ
ตรงข้ามกับคนบางประเทศ ชาวปารีสเป็นชนชาติที่ไม่พูดเสียงดัง แต่จะพูดอย่างนุ่มนวล การพูดเสียงดังอาจทำให้คุณเด่นขึ้นมาในฐานะนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจทำให้ตกเป็นเป้าจากพวกนักล้วงกระเป๋าได้

ภาษาถิ่น
เป็นเรื่องสะดวกหากเรียนรู้ภาษาถิ่นไปบ้างสักประโยคสองประโยค อย่างที่ได้กล่าวไปในตอนต้นว่า “บงชูร์” นั้นเป็นคำทักทายพื้นฐาน นอกเหนือจากนั้นก็คือ “โอ เฮรอวัวร์” (au revoir) ซึ่งแปลว่าลาก่อน “แมร์ซี” (merci) ซึ่งแปลว่าขอบคุณ” และ ซิล วู เปล” (s'il vous plaît) ซึ่งแปลว่าช่วยกรุณา ตัวอย่างเช่น กล่าวว่า “บงชูร์” เมื่อเดินเข้าไปในร้าน และเมื่อจะออกจากร้าน แม้ว่าเราจะไม่ได้ซื้ออะไร แต่หากเดินชมของในร้านเกิน 5 นาทีก็ควรกล่าวว่า “แมร์ซี โอ เฮรอวัวร์” (merci, au revoir) 

-----------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็น