6 เรื่องจริงเกี่ยวกับ ‘กล่องดำ’ ของเครื่องบิน


“ก็ถ้า ‘กล่องดำ’ ที่บันทึกข้อมูลการบินมันแข็งแรงถึงขนาดรอดจากเครื่องบินตกมาได้ แล้วทำไมไม่สร้างเครื่องบินด้วยวัสดุที่ใช้สร้างกล่องดำซะเลยล่ะ!”

   นั่นเป็นคำถามตลกๆฮาๆพื้นๆ (ประโยคนี้มี “ๆ” ตั้งสามอันแน่ะ ฮาาา) เกี่ยวกับกล่องดำ ที่คุณอาจเคยได้ยิน ซึ่งในความเป็นจริงนั้น ‘กล่องดำ’ เต็มไปด้วยฟีเจอร์และความลับทางเทคนิคมากมายเพื่อให้การบินไฟลท์นั้นๆปลอดภัย เนื้อหาต่อไปนี้อาจทำให้เราอุ่นใจขึ้นกับการเดินทางในไฟลท์หน้า ทว่าอย่านำเรื่องราวเหล่านี้ไปเป็นหัวข้อสนทนาบนเครื่องจะดีกว่านะ (คงไม่มีใครอยากคุยเรื่องกล่องดำขณะกำลังนั่งเครื่องบิน เหมือนๆกับที่เราไม่อยากรู้เรื่องถุงลมนิรภัยเวลานั่งบนรถนั่นแหละ

1. กล่องดำไม่ได้มีสีดำ
   บันทึกการบินควรจะมองเห็นหรือถูกพบ (กรณีเครื่องบินตก) ได้ง่ายๆ เพื่อจะได้ถูกเก็บกู้ข้อมูลกลับมาได้อย่างรวดเร็วที่สุด กล่องดำ จริงๆแล้วจึงมี สีส้มสะดุดตา มากๆ และมีแถบสะท้อนแสงคล้ายๆกับป้ายจราจรข้างทางคาดอยู่ด้วย คำว่า “กล่องดำ” นั้นถูกเรียกโดยสื่อจนเกิดความเชื่อผิดๆนี้ขึ้น (ว่ามันเป็นสีดำ) ซึ่งต้นกำเนิดคำว่ากล่องดำนี้ มาจากสีดำของเครื่องบันทึก ซึ่งถูกเรียกครั้งแรกโดยวิศวกรการบินชาวฟินแลนด์ในปี 1942

2. กล่องดำถูกใช้บันทึกข้อมูลการบินตั้งแต่สมัยแรกเริ่มของเครื่องเจ็ท
   จากข้อมูงของผู้ผลิตเครื่อนบันทึกข้อมูลการบิน Curtiss-Wright เครื่องบันทึกแบบสมัยใหม่เครื่องแรก ซึ่งมีหน่วยความจำที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และทนทานต่อการกระแทก ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1957 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่บริษั Boeing ได้ทดสอบเครื่อง 707 และเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยของเครื่องยนต์เจ็ท โดยใช้เทปบันทึกคลื่นแม่เหล็กและเก็บข้อมูลจากเครื่องมือและค่าที่วัดได้ต่างๆจากห้องนักบิน รวมถึงบันทึกเสียงการสนทนาของนักบิน ในปัจจุบันหน่วยความจำเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วย flash memory และเทคโนโลยี solid state ซึ่งสำรองข้อมูลอย่างเชื่อถือได้มากกว่าแต่ก่อน

3. กล่องดำนั้นทนทาน(มากๆ)
   กว่าที่กล่องดำจะได้รับการนำมาใช้ มันจะผ่านการทดสอบสุดโหดมากมาย เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์นี้จะอยู่รอดเป็นอุปกรณ์ชิ้นสุดท้ายจริงๆ ตั้งแต่การทดสอบความทนทานต่อความเค็มของน้ำทะเล การกัดกร่อนจากสารเคมี และแรงดันที่ระดับน้ำทะเลลึก Curtiss-Wright ยังมีการทดสอบอย่างจริงจังกับแรงกระแทก ไฟ แม้กระทั่งการแทงทะลุหรือการเจาะ ทั้งหมดนี้ทดสอบกับอุปกรณ์บันทึกซึ่งจะไปอยู่บนเครื่องบินหลากหลายประเภท ตั้งแต่เครื่องบินขับไล่ของรัฐบาลอังกฤษ เฮลิคอปเตอร์ทางการทหาร ไปจนถึงเครื่องบินโบอิ้ง 
   เครื่องบันทึกนี้สามารถทำงานได้ตั้งแต่ช่วงอุณหภูมิ -55 ถึงราว 70 องศาเซลเซียส และที่ระดับความสูงตั้งแต่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 1,000 ฟุตไปจนถึงเหนือระดับน้ำทะเล 55,000 ฟุต และต้องสามารถอยู่ภายใต้ความร้อนจากการระเบิดที่อุณหภูมิ 1,100 องศาเซลเซียสได้นานถึง 60 นาที และทนการกระแทกที่ 3,400 gs (เพื่อให้เห็นภาพ การกระแทกที่รถชนกระทำต่อร่างกายมนุษย์โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ระหว่าง 50 ถึง 75 gs ซึ่งที่ระดับนี้แน่นอนว่าไม่รับประกันว่ารอดหรือไม่)
   ส่วนบันทึกข้อมูลมักจะทำด้วยอะลูมิเนียมเพื่อให้มีน้ำหนักเบา แต่หน่วยความจำซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดจะถูกหุ้มด้วยสแตนเลสหรือไททาเนียมเพื่อป้องกันแรงกระแทก พร้อมด้วยฉนวนความร้อนอย่างดี ตัวอย่างหนึ่งคือ ModelFA2100 ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในสายการบินทั่วไปส่วนใหญ่ มีน้ำหนักเพียง 11 ปอนด์ และจากสถิติมีอัตราการกู้ข้อมูลคืนจากอุบัติเหตุได้ถึง 100%


4. ภาษาฝรั่งเศส
   นอกจากสีส้มสะท้อนแสงที่เป็นลักษณะภายนอกของกล่องแล้ว ยังมีสติกเกอร์ที่แปะไว้ว่า “ห้ามเปิด” เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย กล่องดำสามารถถูกเปิดได้ ทว่าการเปิดกล่องดำนี้มักอยู่ในอำนาจของเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของสายการบิน เพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแทรงข้อมูลภายใน และนอกเหนือจากภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีภาษาฝรั่งเศสแปะซ้ำอีก (เขียนว่า ‘ห้ามเปิด’ นั่นแหละ) แม้ว่า องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (หรือ International Civil Aviation Organization; ICAO) นั้นจะกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลสำหรับการบินในปี 2001 ก็ตาม แต่ภาษาฝรั่งเศสนั้นก็ยังคงเป็นที่แพร่หลายในวงการการบิน แม้กระทั่งสำนักงานใหญ่ของ ICAO เองก็ตั้งอยู่รัฐ Quebec ประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นรัฐเดียวที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ

5. ถ้าเผื่อคุณอยากได้ไว้สักอัน
   อุปกรณ์บันทึกการบินนี้โดยทั่วไปมีราคาอยู่ที่ประมาณ 30,000 เหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 9xx,xxx บาทไทย) อย่างไรก็ตามสำหรับกล่องดำที่หมดอายุการใช้งาน มีบริษัท เช่น บริษัท Aerodite ที่รับชิ้นส่วนเหล่านี้จากอากาศยานที่ปลดระวางแล้ว เพื่อนำไปแยกชิ้นส่วนหรือทำอย่างอื่นต่อ

6. เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
   หน่วยความจำแบบ solid state ในปัจจุบันสามารถบันทึกเสียงและข้อมูลจากห้องนักบินได้ถึง 2 ชั่วโมง ในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือกล่องดำจมอยู่ใต้น้ำ ตัวระบุตำแหน่งจะทำงานและส่งคลื่นอุลตร้าโซนิคเป็นสัญญาณออกมาต่อเนื่องนานถึง 30 วัน ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อการค้นหากล่องดำ และสัญญาณดังกล่าวได้พัฒนาขึ้นจนในรุ่นล่าสุด สามารถส่งสัญญาณได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 90 วัน
   แม้กระทั่งเทคโนโลยีที่จะบอกเราว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ภายในห้องนักบินก็ตาม นอกเหนือจากการอัดเสียงแล้ว ระบบวีดีโอของกล่องดำรุ่นใหม่ AIR หรือ Airbone Image Recorder ที่จะบันทึกเหตุการณ์ด้วยภาพสีคมชัดแบบ HD 4 ภาพต่อวินาทีของแผงควบคุม ระบบสั่งการ และการเคลื่อนไหวของลูกเรือ
   ในอนาคตอันใกล้ กล่องดำแบบที่เรากล่าวไปอาจกลายเป็นของล้าสมัย จากการพัฒนาเทคโนโลยี streaming ข้อมูลการบิน โศกนาฎรรมแบบ MH370 ที่สูญหายไปในมหาสมุทรอินเดียในปี 2014 ที่ปัจจุบันก็ยังหาไม่พบนั้น เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีเทคโนโลยีแบบ กล่องดำในคลาวด์ ทว่ายังมีเรื่องของความเป็นส่วนตัวและสิ่งที่ต้องพัฒนากว่าที่สายการบินจะสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มที่ ในการรับฟังข้อมูลหรือเสียงจากบนห้องนักบินแบบ real-time


-----------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็น