6 เหตุผลที่ทำให้ประเทศ ไอซ์แลนด์ เป็นตัวเลือกสำหรับการไป Road Trip ครั้งหน้า

"เลยจากเมือง 'เรคยาวิค' (Reykjavik) ไปนั้นมีเพียง ทุ่งลาวา บ่อน้ำพุร้อน  ที่พักแสนผ่อนคลาย และถนนเปิดที่ทอดยาว..."


  ในอดีตที่ผ่านมา ด้วยความที่อยู่ไกลกันถึงคนละซีกโลก หากพูดถึงการท่องเที่ยวในประเทศ “ไอซ์แลนด์” อาจหมายถึงเพียงการนอนในโรงแรมที่เมืองหลวง 'เรคยาวิค' ในโรงแรมธรรมดาๆ แล้วซื้อทัวร์ไปท่องเที่ยวในบริเวณที่ถูกเรียกว่า 'Golden Circle' (ประกอบไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ 3 บริเวณ คือ อุทยานแห่งชาติ Þingvellir, Geysir Geothermal และน้ำตก Gullfoss waterfall) ระยะทางราว 300 กิโลเมตร วนผ่านน้ำตกและน้ำพุร้อนนอกเมือง และอาจปิดท้ายด้วยการลงแช่ Blue Lagoon ที่ Grindavik ก่อนตรงกลับเข้าสู่สนามบินที่ Keflavik เพียงเท่านี้ก็อาจกลับบ้านได้โดยอิ่มเอมใจว่าได้มา ‘ถึง’ ไอซ์แลนด์แล้ว

ทว่าแน่นอนว่าไอซ์แลนด์ยังมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ...

ปัจจุบันด้วยพลังของ อินเทอร์เนต ทำให้เรามีข้อมูลและรู้จักประเทศที่แสนไกล ทว่าน่าหลงไหลและเจือด้วยกลิ่นอายของประเทศแถบสแกนดิเนเวียร์ประเทศนี้เยอะขึ้น 

รวมถึงกระแสการ ‘ใช้ชีวิต’ (live a life!) การท่องเที่ยว การค้นหาตัวเอง การเดินทาง และการ...อะไรอื่นๆอีกมากมายของยุคสมัยวัยเรา ที่ปลุกเร้าให้เราอยากลุกขึ้นมาออกท่องโลกกัน

หลายๆคนอาจคิด หรือมีโครงการ ปักหมุดหมายให้ ไอซ์แลนด์ เป็นหนึ่งเป้าหมายปลายทางในอนาคตกันไว้บ้างแล้ว

บทความนี้เพียงแค่อยากจะ ‘ย้ำ’ ‘ซ้ำเติม’ (หรือ ‘ขยี้’) ลงไปอีกทีด้วยประสบการณ์ตรงของผู้เขียนว่า อะไรบ้างที่ทำให้ผม ‘แนะนำมากๆ’ ว่าควรไปประเทศนี้
  1. แสงเหนือ (Aurora Borealis) 

    "แสงเหนือ" เหตุผลนี้มาเป็นอันดับแรก แน่นอนว่าคงปฏิเสธไม่ได้ว่าความงดงามของแสงเหนือ (หรือ "ออโรร่า") นั้นเป็นเหตุผลหลักในการมาเยือนประเทศแถบนี้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าตื่นตะลึงซึ่งจะพบได้บ่อยครั้งในแถบเหนือเส้นอาร์คติกเซอเคิลขึ้นไป (ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ตื่นเต้นสำหรับประเทศแถบศูนย์สูตรอย่างชาวเรา)  ด้วยเหตุนี้ ประเทศไอซ์แลนด์จึงถือว่าเป็นทำเลที่ "เหมาะสมอย่างยิ่ง" สำหรับการ "ล่า" แสงเหนือ เพราะที่ตั้งที่เกือบจะคาบเกี่ยวกับเส้น อาร์คติกเซอเคิล ทำให้มีโอกาสสูงมากที่จะได้เห็นแสงเหนือ ใน "ส่วนใดก็ตาม" ของประเทศนี้ (เรียกว่ามีโอกาสเห็นได้ทั้งประเทศเลยนั่นแหละ) ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมไร้แสงไฟจากตัวเมืองรบกวน [1]
    โลกเมื่อมองเข้าหาขั้วโลกเหนือ และเส้นอาร์คติกเซอเคิล (สีน้ำเงิน) กับเกาะไอซ์แลนด์จุดสีส้มเข้มเล็กๆซ้ายล่าง

  2. วิวทิวทัศน์  
    1. "ประเทศนี้วิวสวยมาก และเต็มไปด้วยภูมิทัศน์อันน่าตื่นตาตลอดการเดินทาง"  ประโยคดังกล่าวนี้ยืนยันโดย (มุมมอง) ของตัวผู้เขียนเอง ในฐานะที่รับหน้าที่เป็นคนขับรถตลอด Road Trip นี้ ตอนแรกเตรียมใจไว้ในฐานะคนขับรถว่า คงไม่อาจเก็บเกี่ยววิวทิวทัศน์ ได้ตลอดทั้งหมดเท่ากับคนที่นั่งเบาะข้างหรือเบาะหลัง ทว่าพอเอาเข้าจริง เป็นการขับรถที่เพลิดเพลินอย่างที่สุด (และยังคิดว่าวิวของคนขับเป็นวิวที่สวยงามที่สุดด้วย เนื่องจากนั่งข้างหน้าโดยไม่มีอะไรบัง และได้มองเห็นวิวเบื้องหน้าเต็มๆก่อน เมื่อรวมกับมือที่ถือพวงมาลัยและขาที่ควบคุมคันเร่งและเบรคแล้ว เรียกได้ว่ามุมไหนสวย ชอบ ก็ชะลอดูได้เต็มตา) วิวต่างๆที่ปรากฏพาอารมณ์ให้เข้าถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ (แต่ส่วนตัวแล้ว คิดว่าความเวิ้งว้างที่ปรากฏประกอบกับลมหนาวที่พัดใส่ชวนให้เหงาแบบแปลกๆ) เช่น ภูเขาทะมึนสูงลิ่ว ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เส้นทางเลียบชายหาดสีดำสนิท ทุ่งกว้างเวิ่งว้างกว้างไกลที่เต็มไปด้วยมอสปกคลุม น้ำตกสูงชันปล่อยละอองฟุ้งเย็นเฉียบเมื่อสัมผัสแก้ม ไปจนถึงน้ำพุร้อนพวยพุ่งสูงขึ้นฟ้า ยิ่งเมื่อยามค่ำคืนที่ทิวทัศน์เหล่านี้กลายเป็นฉากหลังของแสงเหนือสีเขียวที่เต้นระบำพาดผ่านท้องฟ้าด้วยแล้ว
      ทุ่งธารน้ำแข็งที่เป็นฉากถ่ายทำดาวน้ำแข็งในภาพยนต์เรื่อง Interstellar
      ทะเลน้ำแข็งทางตอนใต้ของประเทศ
      ชายหาดสีดำและก้อนหินรูปร่างแปลกตา
      น้ำตกขนาดมหึมาที่อลังการสุดๆ




    2. ช่วงเวลาที่สามารถเที่ยวได้แทบทุกฤดู  
    3. ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวมักจะกลับมาเยือนซ้ำ ในช่วงเดือนและฤดูที่ต่างจากทริปครั้งแรก เนื่องจากในแต่ละฤดูของประเทศไอซ์แลนด์นั้นให้ภาพความสวยงามของวิวทิวทัศน์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของแต่ละสถานที่ [2]
      • ฤดูหนาว : ช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงต้นๆเดือนมีนาคม อากาศอยู่ที่ประมาณ -3 ถึง 3 องศาเซลเซียส เป็นช่วงเวลาที่วิวทิวทัศน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยอดเขา Kirkjufell อันโด่งดังหรือทะเลสาบ Myvatn หรือน้ำตกต่างๆ ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน และกลายเป็นน้ำแข็ง รวมไปถึงช่วงเวลากลางคืนที่ยาวนานกว่ากลางวัน ทำให้มีเวลาในการเฝ้ารอและเพิ่มโอกาสในการพบเจอแสงเหนือมากขึ้น เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาล่าแสงเหนือเลยทีเดียว อีกทั้งการเที่ยวชม "ถ้ำน้ำแข็ง" ที่สามารถเข้าชมได้แค่ช่วงเวลานี้ของปีด้วย
      • ฤดูใบไม้ผลิ : ช่วงเดือนเมษายนถึงปลายพฤษภาคม อากาศอยู่ที่ประมาณ 1 ถึง 10 องศาเซลเซียส จะได้ชมวิวทิวทัศน์ของหิมะบนยอดเขาที่ยังไม่ละลาย ตัดสลับกับหิมะช่วงตีนเขาที่เริ่มละลายก่อนแล้ว เกิดเป็นสีสันของหญ้าที่ถูกทับถมด้วยหิมะจากปีก่อน และหญ้าใหม่ที่เพิ่งแทงยอดสีเขียว เป็นช่วงเวลาที่กลางวันกับกลางคืนยาวนานพอๆกัน
      • ฤดูร้อน : ช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม อากาศอยู่ที่ประมาณ 7 ถึง 14 องศาเซลเซียส อากาศกำลังสบาย ช่วงเวลากลางวันที่ยาวนานกว่ากลางคืน เหมาะสมกับการขับรถตระเวนเที่ยวได้ยาวนานขึ้น เกิดจากปรากฏการณ์ "พระอาทิตย์เที่ยงคืน" (ซึ่งจริงๆสามารถเห็นพระอาทิตย์ได้ถึงราวตีสามด้วยซ้ำ) ร้านค้าเปิดทำการนานขึ้น (ชดเชยกับช่วงฤดูหนาวที่ต้องปิดเร็ว) วิวทิวทัศน์ของดอกไม้หลากสีสันและหญ้าสีเขียวสดเบื้องหน้าของน้ำตกมหึมา สัตว์เลี้ยงออกมาตามท้องทุ่งและมอสเขียวขจีบนทุ่งก้อนหินลาวา 
      • ฤดูใบไม้ร่วง : ช่วงเดือนกันยายนถึงพฤษจิกายน อากาศอยู่ที่ประมาณ -1 ถึง 11 องศาเซลเซียส เป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสเจอฝนมากที่สุด แต่ก็แลกมาด้วยสีสันทั้งแดงและส้มของใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าฤดูหนาว ตัดกับสีเขียวของมอสและมีภูเขาที่ยอดปกคลุมด้วยหิมะตระหง่านอยู่เบื้องหลัง

      อุณหภูมิในช่วงต่างๆของปีของประเทศไอซ์แลนด์



    4. ความปลอดภัย 


      ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความสงบสุขมาก ถึงขนาดได้รับการจัดอันดับ "ดัชนีความสงบสุข" (GPI; Global Peace Index ซึ่งจัดอันดับโดยสถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (IEP; Institute for Economics and Peace)) เป็น "อันดับหนึ่ง" ของโลกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2008 จนถึงล่าสุดปี 2017 (หรือ 10 ปีติดต่อกัน) [3] อัตราการเกิดอาชญากรรมที่ต่ำ และจำนวนประชากรที่เบาบาง อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ไม่มีทหารประจำการอีกด้วย ทว่ากลับเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวต่างเห็นพ้องกันไว้วางใจว่ามีความปลอดภัยที่สูงมาก (ระหว่างการเดินทางนั้น หลังออกจากสนามบินแล้ว เราแทบไม่พบเห็น 'ตำรวจ' ของที่นี่เลย แม้มีการตรวจจับความเร็วก็เป็นเพียงกล้องตรวจจับ แต่ตำรวจที่เป็นคนจริงๆนั้น ไม่พบเห็นตามท้องถนนเลยตลอดทั้งทริป ใกล้เคียงสุดที่เจอก็คือ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง (ซึ่งอยู่ในสถานีดับเพลิง) ที่เราบุกเข้าไปขอใช้ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟันในตอนเช้าตรู่นั่นเอง (เนื่องจากเช้ามากจนร้านค้าที่อุดหนุนและเข้าห้องน้ำได้ยังไม่เปิด) และพวกพี่ๆนักดับเพลิงก็อนุญาติราวกับเป็นเรื่องธรรมดาปกติ ซึ่งพวกเค้าใจดีนะ พูดคุยถามไถ่ บอกเส้นทาง)
      วิวทิวทัศน์ที่สงบสุขของเมืองเล็กๆ ชื่อ Vik ทางตอนใต้

      นั่นล่ะ จากประสบการณ์พบว่าชาวไอซ์แลนด์มีความใจดีและเป็นมิตร (แอบคิดว่าด้วยสภาพอากาศของแถบนั้นคงจะมีส่วนทำให้ผู้คนมีการพึ่งพาอาศัยและช่วยเหลือกัน แม้จะเป็นคนแปลกหน้า) ตัวอย่างหนึ่งคือ ระหว่างทางการ Road Trip ของเราในเช้าวันที่ 3 (ซึ่ง) กำลังจะออกจาก Grundarfjörður แถวๆภูเขา Kirkjufell นั้น เราพบกับสาว(สวยเชียวล่ะ)ชาวไอซ์แลนด์ที่โบกรถเพื่อเดินทาง และขอติดรถเรามาด้วยกัน จากการถามไถ่พูดคุยพบว่า นี่เป็นวิธีการเดินทางปกติของเธอ (และชาวเมืองนี้) เพื่อเข้าเมืองหรือเดินทางระหว่างเมือง หากไม่อยากรอรถบัสก็สามารถ 'โบก' รถตามท้องถนนเพื่อขอโดยสารติดไปลงระหว่างทางและโบกต่อไปได้เรื่อยๆจนถึงจุดหมายปลายทางได้ เนื่องจากชาวไอซ์แลนด์ใช้วิธีนี้เดินทางกัน ทำให้รถที่ผ่านไปผ่านมาของชาวไอซ์แลนด์นั้นก็มักจะจอดรับผู้ที่โบกระระหว่างทาง 

      *แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าแนะนำให้ "ประหยัด" ถึงขนาดใช้การท่องเที่ยวด้วยการโบกรถนะครับ อย่างไรก็ตามแนะนำให้เดินทางด้วยรถ Camper Van หรือการเช่ารถขับแล้วพักโรงแรมปกตินั่นแหละครับ



    5. การเดินทาง ไม่ยากและไม่แพงก็ได้  


      จากประเทศไทยไม่มีสายการบินที่บินตรงไปยังไอซ์แลนด์ ทำให้อาจต้องมีการแวะพักเปลี่ยนเครื่องอีกสักครั้งหรือสองครั้ง แล้วแต่การวางแผน (ในทริปของผู้เขียน แวะเปลี่ยนเครื่องที่นอร์เวย์ ทั้งขาไปและขากลับ ส่งผลให้ได้แวะ 'โฉบ' เที่ยวภายในเมือง ออสโลว์ อีกนิดหน่อยก่อนกลับไทยด้วย) อาจใช้วิธีหาเที่ยวบินราคาถูกไปยังละแวกนั้นก่อน แล้วต่อเครื่องสายการบินภายในยุโรปที่ราคาไม่แพงไปลงไอซ์แลนด์ก็ไม่เลว สมัยนี้มีเที่ยวบินให้เลือกหลากหลายสายการบินในราคาที่จับต้องได้ ยังไม่นับโปรโมชั่นที่มักจะมีมาตลอด (ขอละรายละเอียดการหาเที่ยวบินราคาถูกไว้ ไม่พูดถึงในบทความนี้ก่อน เชื่อว่าแต่ละคนมีช่องทางการติดตามมากมาย ทั้ง Fanpage FB และ Official Line โปรโมทต่างๆ) 

      อีกประการคือการขับรถเดินทางรอบไอซ์แลนด์นี้มีความเป็นมิตรกับผู้ขับขี่อย่างมาก ขับได้ง่ายและเพลิดเพลินกับวิวรอบข้างได้สบายๆเพราะจำนวนรถบนท้องถนนที่ถือว่าน้อย แม้เป็นถนนเพียงสองเลนสวนกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถนนเส้นหลักนั้นมีเพียงเส้นเดียวที่เรียกว่า Main Ring Road หรือถนนหมายเลข 1 ขับวนรอบเกาะเป็นวงกลม เรียกได้ว่าเพียงถนนเส้นนี้เส้นเดียวก็สามารถพาเราไปยังสถานที่ต่างๆรอบเกาะไอซ์แลนด์และสามารถพากลับมาที่จุดเริ่มต้นหรือเมืองหลวง Reykjavik ได้ [3]
      เส้นสีน้ำเงินแสดงถนนหมายเลข 1 ที่วิ่งวนรอบไอซ์แลนด์ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

        อย่างไรก็ตาม สำหรับคนไทยอย่างเราๆ การขับรถท่องเที่ยวที่ไอซ์แลนด์นั้นมีบางประการที่ควรทราบล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดความงงสับสน เพราะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างจากท้องถนนเมืองไทยดังนี้
      • ขับรถชิดขวาเป็นหลัก (ตรงข้ามกับประเทศไทยที่ขับชิดซ้าย)
      • การเลี้ยวตามทางแยกมักใช้ระบบ "วงเวียน" แทนการใช้ไฟเขียวไฟแดงแบบบ้านเรา ซึ่งในความรู้สึกผู้เขียน ทำให้รถไม่ติดด้วย เพราะสามารถไหลตามๆกันไปในวงเวียนได้ แล้วใช้การบอกทางแยกที่เราจะออกเป็น Exit1 หรือ Exit2 แทน (และแน่นอนว่าหลักการคือ ให้รถในวงเวียนไปก่อน อย่าลืมข้อนี้นะครับ ไม่งั้นอาจเกิดอุบัติเหตุได้)
      • จำกัดความเร็วอย่างเคร่งครัด (เน้นว่า "เคร่งครัด" นะครับ) ข้อนี้อาจทำยากสำหรับนิสัยชาวเราหน่อย แต่ละบริเวณของไอซ์แลนด์จะมีการจำกัดความเร็วของรถให้เหมาะสม เช่น ในตัวเมืองจะถูกจำกัดความเร็วที่ 50 กม./ชม. เพื่อความปลอดภัย และจะมีกล้องคอยตรวจจับความเร็วด้วยเมื่อถึงจุด (ซึ่ง GPS มักจะคอยเตือนเราให้ระวังตำแหน่งของกล้องตรวจจับเหล่านี้) และอย่าคิดว่าหนีกลับไทยแล้วจะรอดนะครับ เพราะหากเราฝ่าฝืนจะมีใบสั่งตามมาเก็บค่าปรับ (แปลงเป็นเงินไทยแล้วมหาศาล แพงโข) ทีหลัง ซึ่งหากเบี้ยวไม่จ่ายเพราะคิดว่าอยู่ไทยแล้ว ก็ระวังส่งผลถึงการขอวีซ่าในทริปถัดไปนะครับ 
      • สะพานแบ่งกันไป ในบางเส้นทางอาจเจอกับสะพานข้ามทะเล แม่น้ำ หรือทะเลสาบซึ่งเป็นสะพาน 'เลนเดียว' ทอดยาว ซึ่งเราจะต้องคอยดูก่อนข้ามว่าไม่มีรถวิ่งมา เราถึงจะข้ามไปได้ครับ  
      • ตรวจเช็คสภาพเส้นทางก่อนเดินทาง เพราะบางกรณีอาจมีอุบัติเหตุ หรือมีหิมะตกทำให้บางเส้นทางไม่สามารถเดินทางได้ ซึ่งจะมีบอกในเว็บไซต์ของทางการ ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางได้ทัน (แต่เนื่องจากถนนเส้นหลักมีเส้นเดียว ดังนั้นถนนเส้นนี้มักจะมีการเคลียร์พื้นที่ให้สามารถเดินทางได้แทบจะตลอดเวลา แต่รอบคอบไว้ก็ดีกว่าเนอะ)
        ถนนเส้นหลักที่พาเราเดินทางผ่านสภาพอากาศที่แตกต่างกัน



    6. งบประมาณ สามารถประหยัดได้ถ้าแบกอาหารไป ไม่แพงอย่างที่คิด 

    7. "ไม่แพงเกินเอื้อม และลดลงได้อีกหากอดทนได้มากพอ" ขอขีดเส้นใต้ย้ำอีกทีตรง "ไม่แพงเกินเอื้อม" เพราะไม่ใช่ว่าการไปดูแสงเหนือจะต้องแพงเสมอไป (แต่ก็อย่างว่าเนอะ นิยามคำว่า 'แพง' ของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ผู้เขียนค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าฐานะแบบผู้เขียนยังไปได้ คนส่วนมากก็คงไปได้แหละครับ T_T)

      หากไล่เรียงค่าใช้จ่ายหลักๆของทริปไอซ์แลนด์แล้ว จะพบว่าค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดของทริปนี้ (และน่าจะเกือบทุกทริปนั่นแหละ) ก็คือค่าเครื่องบิน ซึ่งตามที่ได้กล่าวไปแล้วในข้อ 5 ที่ผ่านมา ว่าถ้าเราสามารถหาตั๋วราคาโปรฯ ที่เหมาะสมได้ เราจะเซฟค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปได้เยอะมากเลย รองลงมาคือค่าเช่ารถขับ (อย่าลืมบวกค่าน้ำมันตลอดทริปด้วยล่ะ) ซึ่งถ้าสามารถเช่ารถ Camper Van ที่สามารถนอนบนรถได้ ก็จะสามารถประหยัดค่าโรงแรมไปได้อีกมาก (อาจจะเสียค่าเข้าที่พักที่เป็น Camp Site บ้างแต่ก็ถือว่าประหยัดกว่า ทว่าในทริปของผมนั้นมีบางคืนที่เปลี่ยนบรรยากาศไปนอนโรงแรม หรือบางคืนที่หา Camp Site ไม่เจอก็จอดนอนในปั๊มน้ำมัน ซึ่งก็หักกลบลบกันไป) ถัดมาคือค่าอาหารการกินตลอดทริป ซึ่งประเทศแถบนี้ขึ้นชื่อเรื่องค่าครองชีพที่แพง (เมื่อเทียบกับบ้านเรา) ทำให้การพกอาหารมาจากไทย เป็นตัวเลือกที่สามารถลดรายจ่ายตรงนี้ไปได้มาก แน่นอนว่าทริปผมเต็มไปด้วย มาม่า และอาหารซองหลากยี่ห้อ ทั้งโรซ่า ทั้งปุ้มปุ้ย และปลากระป๋องต่างๆ ที่พวกเราช่วยกันหอบหิ้วมา (แต่ก็มีมื้อที่เรากินอาหารท้องถิ่นหรูๆอยู่บ้างบางมื้อนะ อะแฮ่ม!)  นอกจากนั้นก็จะเป็น ค่าทำวีซ่า  ค่าล่องเรือดูปลาวาฬ ค่าทัวร์เดินธารน้ำแข็ง ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลอื่นๆจิปาถะ เช่น ค่าเสื้อผ้า ค่าชุดเสื้อหนาวตัวใหม่ ค่าพ็อกเกตมันนี่ติดกระเป๋า ค่าขนมระหว่างทาง ค่าช็อปปิ้งซื้อของฝากของที่ระลึก ต่างๆอีกนิดหน่อย
      ตัวอย่างอาหารซองพร้อมทานที่พกไปด้วย

      กระนั้นแล้ว หากสรุปเพียงค่าใช้จ่ายหลักอย่างคร่าวๆ ทริปของผมจะอยู่ที่ประมาณ 6x,xxx บาท (หรือหกหมื่นกลางๆ) ซึ่ง (ในความคิดผู้เขียน) คิดว่าเป็นค่าทริปที่พอเอื้อมถึงสำหรับคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไปส่วนใหญ่ หากคิดภาพว่าเที่ยวปีละครั้งก็เก็บราวเดือนละ 5 - 6,000 บาท สำหรับประเทศที่มองเห็นแสงเหนือและวิวอย่างไอซ์แลนด์

      อนึ่งหากมีเวลาและหาโพยที่เคยจดๆไว้เจอ ผมจะมาแจกแจงรายจ่ายของทริปไอซ์แลนด์นี้อย่างละเอียดอีกครั้งเผื่อเป็นตัวเลือกให้คนที่กำลังวางแผนสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ
    หวังว่าเหตุผล 6 ข้อนี้จะเพียงพอให้ "คุณ" อยากไปเยือนประเทศแห่งไฟและน้ำแข็ง (Land of Ice and Fire) นี้มากขึ้นนะครับ :)

    *แรงบันดาลใจประสบการณ์ตรงที่โครตประทับใจจากประเทศนี้

    [1] : https://www.bugbog.com/
    [2] : https://www.responsibletravel.com/holidays/iceland/travel-guide/best-time-to-visit-iceland
    [3] : http://www.icelandnaturally.com/article/iceland-named-1-most-peaceful-country-world-again
    [4] : https://guidetoiceland.is/ 
    -----------------------------------------------------------------------------------

    ความคิดเห็น